มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BenarNews ว่า ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการทหารของจีน อาจทำให้ประเทศมุสลิมต่างๆ ไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกดขี่คนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน แม้ว่าจีนอาจไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่า ประเทศมุสลิมและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน แต่ก็ไม่ควรตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีนแล้วเจอผลกระทบหนักตามมา
ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า มหาเธร์มักกล่าวถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมทั่วโลก ทั้งเรื่องที่กองทัพเมียนมาล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ จนทำให้มีชาวโรฮิงญาลี้ภัยออกจากพื้นที่ไปยังประเทศต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะบังกลาเทศที่รับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญามากกว่า 740,000 คน นับตั้งแต่มีการปราบปรามอย่างหนักรอบล่าสุดเมื่อปลายปี 2016
นอกจากนี้ มหาเธร์ยังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ด้วย แต่เขากลับไม่ค่อยพูดถึงการกดขี่ชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียงอูยกูร์มากเท่าที่ควร แม้จะมีรายงานว่า มีชาวอุยกูร์ถูกจับเข้าค่ายปรับทัศนคติของรัฐบาลจีนมากกว่า 1.5 ล้านคนนับตั้งแต่ เม.ย. 2017
มหาเธร์อธิบายต่อว่า จีนเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาจึงไม่พยายามจะทำอะไรที่รู้อยู่แล้วว่าจะล้มเหลว ควรจะหาทางอื่นที่ไม่ทำให้จีนดูเป็นตัวร้ายจะดีกว่า เพราะจีนยังมีประโยชน์กับมาเลเซีย แน่นอนว่าจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย และคงไม่มีใครอยากจะทำอะไรที่จะล้มเหลว และเราก็จะเดือดร้อนด้วย
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร และองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ซึ่งมีสมาชิกถึง 57 ประเทศก็โจมตีที่มหาเธร์ไม่พูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ในจีน ขณะที่สหรัฐฯ ออกมาประณามว่า การกดขี่ชาวอุยกูร์ในซีนเจียงอุยกูร์เป็น “รอยด่างพร้อยของศตวรรษ”
ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำภูมิภาคเอเชียกล่าวว่า เมื่อผู้นำที่กล้าพูดอย่างมหาเธร์ยังเลือกจะกัดลิ้นตัวเองไว้แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์จีน มันก็แสดงให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า จีนมีมาตรการเด็ดขาดในการข่มขู่คนที่จะวิจารณ์จีน ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่อยู่ใกล้หรือไกล
โรเบิร์ตสันกล่าวว่า มาเลเซียก็เหมือนกับประเทศมุสลิมอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากจีน เมื่อจะออกมาพูดความจริงเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ มาเลเซียก็ควรจะเปิดประเด็น สร้างกระแสเรื่องนี้ และประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวอุยกูร์
มูจาฮิด ยูซูฟ ราวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการอิสลามของมาเลเซียเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเช่นกัน หลังจากที่เขาออกมาบอกว่า ศูนย์กักกันชาวอุยกูร์ที่เขาไปเยือนที่ซินเจียงอุยกูร์เป็น“ศูนย์ฝึกฝนอาชีพ”ตามที่ทางการจีนกล่าวอ้างว่า ค่ายดังกล่าวเป็น“โรงเรียนที่จะปลดปล่อยคนออกจากการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่ง และได้รับทักษะที่เป็นประโยชน์”
นอกจากนี้ มหาเธร์ยังเปิดเผยกับ BenarNews ว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อาจไม่กล้าตั้งคำถามกับการรุกคืบของจีนเข้าไปในทะเลจีนใต้ด้วยเช่นกันหากมาเลเซียถูกจีนกดดันหรือโจมตี เขาก็ไม่คิดว่าประเทศอาเซียนจะสามารถหยุดยั้งจีนได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ มาเลเซียก็ยังต้องเจรจากับจีนด้วยตัวเองอยู่ดี เพราะแม้อาเซียนอยากจะร่วมมือกันแค่ไหน ก็ยังสู้จีนไม่ได้อยู่ดี
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และเวียดนาม เป็นประเทศในอาเซียนที่มีปัญหากับจีนเรื่องพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ หลังจีนอ้างสิทธิเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ โดยที่ผ่านมา จีนได้เข้าไปถมเกาะเทียม ติดตั้งขีปนาวุธทำลายเรือ และติดตั้งระบบขีปนาวุธโจมตีจากภาคพื้นดินสู่อากาศ 3 แห่งในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทกับอีกหลายประเทศ
ไม่นานมานี้ มีรายงานว่า หน่วยยามฝั่งของจีนเข้าไปใกล้บริเวณแท่นขุดเจาะน้ำมันใกล้มาเลเซียพื้นทวีป และมีเรือสำรวจของจีนมาวิจัยและสำรวจน้ำมันและก๊าซในเขตเศรษฐกิจของมาเลเซียบริเวณเกาะบอร์เนียว ซึ่งมหาเธร์ก็ยืนยันว่า รัฐบาลมาเลเซียไม่เคยอนุญาตให้เรือจีนเหล่านั้นเข้าไปปฏิบัติการในน่านน้ำของมาเลเซีย แต่มาเลเซียก็พยายามจะไม่ทำอะไรรุนแรง ไม่ไล่เรือจีนออกไป
มหาเธร์ย้ำว่า เราต้องยอมรับว่าจีนเป็นมหาอำนาจ มาเลเซียอยู่รอดมาได้กว่า 2,000 ปีที่ผ่านมาใกล้กับจีน ก็เพราะมาเลเซียรู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง มาเลเซียก็เคยส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองไปเป็นเครื่องบรรณาการของจีนด้วย ดังนั้น มาเลเซียจะไม่ได้เกรี้ยวกราดใส่คนอื่นไปทั่ว เมื่อไม่มีศักยภาพเพียงพอ ก็ต้องใช้วิธีอื่น
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยอมรับว่า มาเลเซียพยายามจะไม่แสดงความเห็นต่อต้านการละเมิดสิทธิชาวอุยกูร์ในซินเจียงอุยกูร์ เพราะจีนทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทหารมาก จนทำให้ไม่อยากทำให้จีนไม่พอใจ