กรุงศรีไรส์ หนึ่งในสุดยอดโครงการส่งเสริมและพัฒนาการสร้างนวัตกรรมการเงิน หรือ FinTech Start Up ของไทย เปิดตัวโครงการรุ่นที่ 2 กับรูปโฉมใหม่ที่พร้อมเร่งสปีดการเติบโตของสตาร์ทอัพด้านการเงินของไทย
กรุงศรีไรส์ หนึ่งในสุดยอดโครงการด้านการส่งเสริมและพัฒนาการสร้างนวัตกรรมของบริษัท กรุงศรี ฟินโนเวท จำกัด ในเครือกรุงศรีกรุ๊ป ได้เปิดตัวโครงการกรุงศรีไรส์รุ่นที่ 2 ภายใต้แนวคิด 'เร่งโต 2 เท่า' หรือ Accelerate 2X Potential ช่วยเร่งสปีดฟินเทคไทยแบบก้าวกระโดดเป็น 2 เท่าตัวต่อยอดความสำเร็จในการให้การสนับสนุนฟินเทคสตาร์ทอัพในปีที่แล้ว ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ ยกระดับขีดความสามารถของการสร้างสรรค์แนวคิดนวัตกรรมการเงินรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล โดยจะมีการติวเข้มทุกหลักสูตร อัดแน่นทุกเนื้อหาและกิจกรรม ก้าวล้ำด้วยวิธีทำธุรกิจนำเทรนด์ตลอดบูทแคมป์ทุกวันศุกร์เป็นเวลา 4 เดือนเต็ม
นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัล แบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเป้าหมายของโครงการกรุงศรีไรส์สอดคล้องกับพันธกิจหลักของกรุงศรีฟินโนเวตในการมุ่งมั่นผลักดันธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพให้เติบโตทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ซึ่งกรุงศรีไรส์ รุ่น 2 นี้จะมีความเข้มข้นขึ้นและเชื่อมั่นว่าเมื่อทั้ง 10 ทีมได้ผ่าน Intensive Bootcamp ในระยะเวลา 16 สัปดาห์หลังจากนี้ จะมีโอกาสเห็นนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆของไทยได้ชัดเจนมากขึ้นโดยมีการประมาณการณ์มูลค่าทางการตลาดที่จะเกิดขึ้นไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
ด้านนายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร “ไรส์ ” กล่าวว่าความหมายของแนวคิด “เร่งโตสองเท่า” ก็คือความเข้มข้นของหลักสูตรที่ผู้เข้ารอบจะได้รับไปเต็มๆ และระยะเวลาของโครงการจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับรุ่นแรกเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา
สิ่งสำคัญของโครงการกรุงศรีไรส์ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเร่งสปีดฟินเทคสตาร์ทอัพทั้ง 16 สัปดาห์ที่ถูกออกแบบโปรแกรมมาเพื่อเร่งพัฒนาอย่างตัวต่อตัวและตรงจุดเท่านั้น แต่ทั้ง 10 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการจะได้พบปะกับเหล่านักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การลงทุนด้านการเงินที่ไม่สามารถพบเจอได้ทั่วไป ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของฟินเทคสตาร์ทอัพไทยที่จะได้รับการพัฒนาแบบเข้มข้นและจริงจัง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อกับ���ักลงทุนรายใหญ่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ตอบสนองนโยบายการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆตลอดโครงการซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 400,000 บาทต่อคน และยังไม่มีข้อบังคับในการเข้าถือหุ้นกับฟินเทคสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย