แต่เผื่อใครไม่รู้จัก คันฉัตรจบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก้าวเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์เต็มตัวเมื่อ 10 ปีก่อน โดยเริ่มต้นจากการเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์บนเว็บบอร์ดของนิตยสารไบโอสโคป ต่อมาก็จับมือกับเต๋อ-นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับชื่อดัง สร้างสรรค์กิจกรรม ‘Third Class Citizen’ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกับ 'ภาพเคลื่อนไหวที่เปรี้ยวแปลกในทางใดทางหนึ่ง'
ไลฟ์สไตล์ของเขาเป็นหนุ่มโสดฝีปากกล้า เหวี่ยงวีนบางเวลา ฉายเดี่ยวทุกคอนเสิร์ต และเคยทำสถิติชมภาพยนตร์ 155 เรื่องภายในหนึ่งปีมาแล้ว ทว่าบรรดาภาพยนตร์มากมายที่ผ่านเข้ามาจะมีสักกี่เรื่องกันที่เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกสุดประทับใจของชายคนนี้
ช่วงเวลาหอมหวานของเดือนกุมภาพันธ์ เราตัดสินใจเคาะคีย์บอร์ดไปหาเขาอีกครั้ง ถามหาภาพยนตร์รักโรแมนติกในความสัมพันธ์ทั้งแบบสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ซึ่งนักเขียนหนุ่มโสดบอกกับเราว่า จริงๆ แล้วภาพยนตร์รักที่ชื่นชอบมักไม่ค่อยตรงตามนิยามภาพยนตร์โรแมนติกแบบทั่วไป เช่นเรื่อง Love Actually (2003) ของริชาร์ด เคอร์ทิส
“คือดูตอนเด็กก็ชอบ แต่พอมาดูตอนโต (หรือตอนแก่) กลับรู้สึกว่า ทุกสิ่งไม่เป็นธรรมชาติเลย ดูไม่ใช่ชีวิตจริง ดังนั้น พออายุมากขึ้นจะชื่นชม Love Actually ในแง่การเขียนบทว่า สามารถทำเรื่องเพ้อเจ้อให้คนเชื่อได้” คันฉัตรกล่าว
ดังนั้น หากถามว่าปัจจุบันรู้สึกอินกับ Love Actually ขนาดไหน คำตอบก็คือ “ไม่อินแล้ว” ส่วนใหญ่ภาพยนตร์รักที่คันฉัตรชื่นชอบจะเป็นแนวแสดงออกน้อย ไม่มีเหตุการณ์อะไรหวือหวา ดูเป็นชีวิตจริง
“เพราะชีวิตจริงก็เป็นไปในลักษณะนั้น หรืออาจจะเป็นภาพยนตร์ที่สำรวจความสัมพันธ์แบบพิเศษ เช่น ครึ่งหลังของภาพยนตร์เรื่อง Solanin (2010) ที่พูดเรื่องการอยู่กับคนรักที่ตายไปแล้ว และเรื่อง Strangers by the Lake (2013) ที่ตัวเอกยังรักอีกฝ่ายแม้จะรู้ว่าเขาเป็นฆาตกร”
คันฉัตรยังแนะนำว่า Maps to the Stars (2014) ผลงานการกำกับของเดวิด โครเนนเบิร์ก ก็��ป็นอีกเรื่องหนึ่งพูดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ของพี่น้องได้น่าสนใจดี เพราะเล่าเรื่องด้วยท่าทีค่อนข้างสงบนิ่ง จนทำให้เขาเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้
ส่วนภาพยนตร์รักโรแมนติกที่คันฉัตรประทับใจมากสุดคือ Fallen Angels (1995) ของหว่อง กาไว
“มันเป็นแพ็คคู่กับ Chungking Express (1994) ซึ่งส่วนใหญ่คนจะชอบเรื่องหลัง แต่เราว่า Chungking Express มันหวานๆ และเพ้อๆ ไปหน่อย ส่วน Fallen Angels กำลังดี เล่าความสัมพันธ์ของคนหลายคู่ แต่ละคนก็เชื่อมโยงกันทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งทุกคนไม่สมหวังในความรัก และก็มีความเจ็บปวดต่างกันไป พวกเขาเลยมีชีวิตเหมือนเทวดาตกสวรรค์ตามชื่อเรื่อง”
“แต่ตอนจบของมันเหมือนจะให้แสงสว่างที่อบอุ่นมากๆ เป็นฉากที่ตัวละครไม่ได้รู้จักอะไรกัน ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ลอดอุโมงค์ไปด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องของความรักหรอก แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์และคนแปลกหน้ามากกว่า ซึ่งสำหรับเรามันโรแมนติกดี อินมากถึงขนาดตอนไปฮ่องกงก็ลงทุนไปนั่งรถลอดอุโมงค์ด้วย ปรากฏว่าชีวิตจริงไม่ได้โรแมนติกเลย มีแต่เสียงคนพูดจีนช้งเช้งลั่นรถ” นักเขียนโสดทิ้งท้าย