ไม่พบผลการค้นหา
เปิดประวัติ 'โจ ไบเดน' วุฒิสมาชิกนักสร้างประวัติศาสตร์ 36 ปี ในคองเกรส ผู้เป็นคนสนิทใกล้ชิด 'บารัก โอบามา' สู่ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา

หลังจากลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ระหว่างโจ ไบเดน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสูสีในหลายพื้นที่รัฐสมรภูมิ ในที่สุด ผลการเลือกตั้งรัฐเพนซิลเวเนีย ส่งผลให้ โจ ไบเดน กลายเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ด้วยคะแนน 273 ต่อ 213 คว้าชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ 

การก้าวขึ้นเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ของ 'โจ ไบเดน' ในวัย 77 ปี ส่งผลให้เขาเป็นจะกลาย ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะขึ้นครองตำแหน่ง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ 'โจ ไบเดน' สร้างประวัติศาสตร์ให้กับการเมืองสหรัฐฯ 'วอยซ์' พาไปรู้จักประวัติของอดีตรองประธานาธิบดี ผู้เป็นขุนพลมือขวาโอบามา ถึง 2 สมัย สู่ว่าที่ผู้ครองทำเนียบขาวคนล่าสุด

โจ ไบเดน.jpg

'โจ ไบเดน' (Joe Biden) หรือชื่อเต็มว่า 'โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์' (Joseph Robinette Biden, Jr.) เกิดวันที่ 20 พ.ย. 2485 ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เผชิญสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นบุตรชายคนโตของ 'โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน ซีเนียร์' กับ 'แคเทอรีน ยูจีเนีย จีน ไบเดน' มีพี่น้อง 3 คน 

โจ กำเนิดที่เมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย ในครอบครัวชาวคริสต์นิกายคาทอลิก กระทั่งผู้เป็นพ่อประสบปัญหาด้านธุรกิจ จึงตัดสินใจย้ายครอบครัวไปใช้ชีวิตยังเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ โจ เข้าศึกษาในโรงเรียนคาทอลิก จนจบระดับระดับชั้นมัธยมวิทยาลัยโรมันคาทอลิค Archmere Academy

โจ ไบเดนมีปัญหาการพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยถูกส่งไปบำบัดแต่ไม่ค่อยเป็นผล ไบเดนแก้ปัญหานี้ด้วยการฝึกพูดหน้ากระจก กระทั่งอาการพูดติดอ่างเริ่มดีขึ้นเมื่อช่วงเรียนมัธยมปัจจุบันก็ยังมีบางครั้งที่โจพูดผิดเนื่องจากการติดอ่าง สังเกตได้จากช่วงระหว่างการดีเบตหากับ ปธน.ทรัมป์

โจ เข้าศึกษาด้านรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ช่วงเรียน โจ ไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง เขาจบการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย C สอบไล่ได้อันดับที่ 506 จากทั้งหมด 688 ของชั้นเรียน

โจ ไบเดน.jpg

ช่วงเรียนที่มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขาได้แรงบันดาลใจจากสุนทรพจน์ของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ในวันสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ส่งผลให้เมื่อเรียนจบ มีความสนใจเข้าสู่เส้นทางการเมือง จึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจเรียนต่อทางด้านวิชากฎหมายเพิ่มเติ่ม กระทั่งคว้าปริญญาอีกใบจากวิทยาลัยนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก ในปี 2511 

ไบเดน พบรักกับ นีเลีย ฮันเตอร์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ ทั้งคู่คบหาดูใจ จึงเป็นเหตุผลที่ไบเดนตัดสินใจเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จนจบการศึกษา ทั้งคู่แต่งงานในปี 2509 มีทายาทร่วมกัน 3 เอมี่่่่่่ย์ บุตรสาว กับบุุุุุุุตรชาย ฮันเตอร์ และ โบ

ปี 2515 เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสมัยแรก เขาต้องเผชิญกับมรสุมชีวิิต จากการสูญเสียครั้งใหญ่่่่่่่่่่่่เมื่อภรรยาและลูกๆ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่งผลให้นีเลีย ผู้เป็นภรรยา และเอมี่ย์ เสียชีวิต ส่งส่วนโบ และ ฮันเตอร์ แม้จะรอดชีวิิิต แต่ก็เกือบทำให้ไบเดน เกือบตัดสินใจออกจากเส้นทางการเมืองเพื่อดูแลลูกชายทั้งสอง แต่สุดท้ายก็เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ส.ว. กระทั่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวยาวนานหลายสมัย

ช่วงที่เป็นส.ว. มีีีีีีีีเรื่องเล่าว่า ไบเดน ต้องใช้เวลานั่งรถไฟไปกลับวันละ 3 ชั่วโมง ระหว่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กับรัฐเดลาแวร์เพื่อดูแลลูกๆ ซึ่งป่วยจากอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภาพนี้สะท้อนให้ผู้ที่สนับสนุนมองว่า โจ จะเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่เข้าใจถึงความลำบากของประชาชนที่สุด

ปี 2518 โจ พบรักครั้งใหม่กับ จิลล์ เทรซี เจคอบส์ ทั้งสองแต่งงานในอีก 2 ปีถัดมา และมีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ แอชลีย์ 

โจ ไบเดน สว


ส.ว.นักสร้างประวัติศาสตร์

ปี 2512 ไบเดนเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นทนายความ จนได้รับเลือกเป็นคณะลูกขุนในปี 2513 ต่อมาปี 2515 ได้ก้าวสู่เส้นทางการเมือง โดยการเลือกตั้ง ส่งผลให้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 5 ที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในการเมืองสหรัฐ จากนั้น ไบเดน ชนะการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาอย่างต่อเนื่องในการเลือกตั้งปี 2521, 2527, 2533, 2539 และ 2545 ส่งผลให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ครองตำแหน่งนานที่สุดอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ รวมระยะเวลาที่เป็น ส.ว. จากรัฐเดลาแวร์นานถึง 36 ปี

ระหว่างเป็น ส.ว. เขาดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมาธิการคองเกรสหลายชุด ทั้งกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการต่างประเทศ ทั้งประเด็นก่อการร้าย ยุโรปหลังสงครามเย็น และความมั่นคงในตะวันออกกลาง และยังเคยอยู่ในกรรมาธิการยุติธรรม ซึ่งมีส่วนผลักดันกฎหมายป้องกันอาชญากรรม รวมถึงกฎหมายป้องกันความรุนแรงต่อสตรี

ไบเดน มีความฝันอยากเป็นประธานาธิบดีมาตลอด เขาพยายามสนามชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ มาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2531 และ 2551 แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง โดยครั้งที่สอง ไบเดน ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนในพรรคมากพอ เนื่องจากต้องหลีกทางให้นักการเมืองหนุ่มเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันไฟแรง 'บารัก โอบามา' แทน

แม้จะผิดหวังรอบสอง ทว่าปีเดียวกันนี้ โอบามา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสังกัดพรรคเดียวกัน ได้เลือกเขาเป็นแคนดิเดตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระทั่งทำให้โจ ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีผู้เป็นขุนพลมือขวาของโอบามาถึง 2 สมัย

ไบเดน โอบามา .jpg


มือขวา 'โอบามา'

ไบเดน ในฐานะรองประธานาธิบดีคนที่ 47 ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลมือขวาคนสำคัญของประธานาธิบดีโอบามา เขามีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาแก่โอบามา โดยเฉพาะการให้มุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับนโยบายด้านต่างประเทศทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงมีส่วนร่วมในการให้มุมมองต่อโอบามาในปฏิบัติการสังหาร 'บิน ลาเดน' ขณะเดียวกัน ไบเดน ยังมีบทบาทในฐานะผู้เจรจากับฝ่ายนิติบัญญัติ ช่วยผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ร่างงบประมาณฯ และผลักดันระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ให้เกิดขึ้นจริง ครั้งหนึ่งโอบามาเคยเอ่ยถึงไบเดนว่า

"โจอยู่เคียงข้างผมเสมอในทุกๆ การตัดสินใจที่ยากลำบาก"

ไบเดนกับโอบามา มีสัมพันธ์แบบ 'พี่น้อง' ที่สนิทสนมลึกซึ้ง โดยช่วงปีสุดท้ายก่อนที่โอบามาจะสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้มอบรับเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) อิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด ซึ่งประธานาธิบดีมอบเพื่อเป็นเกียรติคุณแก่ผู้รับซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็น "ผู้อุทิศตนในการสร้างความั่นคงและสนับสนุนผลประโยชน์ของชาติ" ให้กับ โจ ไบเดน โดยระหว่างพิธีมอบเหรียญ โอบามาสร้างเซอร์ไพรส์ จนไบเดนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่่่่่่่อยู่

ไบเดน โอบามา .jpg


ผู้ท้าชิงท้าชิงประธานาธิบดีคนที่ 46

โจ ไบเดน ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน เม.ย. 2562 จากนั้น 11 ส.ค. 2563 ไบเดนเสนอชื่อ 'กมลา แฮร์ริส' เป็นคู่สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2563 ซึ่งส่งผลให้ กมลา เป็นสตรีอเมริกันผิวสี-เอเชีย ที่ถูกเสนอชื่อแคนดิเดตรอง ปธน. 

ไบเดน ได้ชื่อว่า เป็น 'คู่ชกคู่ชิงตัวจริงของทรัมป์' หากเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆ จากแดโมแครต กระทั่งจ่อคว้าชัยชนะ กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 แห่งสหรัฐอเมริกา