วันที่ 28 มี.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง Pm.2.5 ว่า เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะต้องทำตามกรอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งพยายามทำอย่างเต็มที่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือ พร้อมกับระบุว่าจุดความร้อนในประเทศนั้นลดลง แต่จากด้านนอกประเทศก็ยังคงมีซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขอความร่วมมือในการใช้ยานพาหนะ
แต่ยังไม่มีการบังคับว่าห้ามเดินรถในเขตใด ซึ่งการใช้ยานพาหนะถือเป็นสาเหตุรองจากการเผาในที่โล่งแจ้ง นอกจากนี้ยังมองว่าการสั่งการของผู้ว่าฯราชการจังหวัด หากมีคำสั่งหยุดห้ามเดินรถเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง เป็นทางที่สามารถทำได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน คนไทยก็ไม่ยอมกัน เพราะหากคนไปร่วมมือกันทำยังไงก็ไม่สามารถดำเนินการได้
ส่วนเรื่องโรงงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ก็มีความเข้มงวด ฉะนั้นถ้าทุกคนอยากให้สถานการณ์ดีขึ้นขอให้ทุกคนร่วมมือกัน จะให้ไปไล่จับก็คงไม่ได้เพราะผู้ที่โดนจับส่วนใหญ่คือเกษตรกร ส่วนการที่จะเปลี่ยนจากรถยนต์ปกติ เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ก็อาจเป็นเรื่องยากเพราะมีต้นทุนสูง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า การสั่งและมุ่งหวังให้ค่าฝุ่นละอองลดลงคงเป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็จะมีการทำฝนหลวง แต่ตนไม่ขอวิเคราะห์ว่าจะได้ผลหรือไม่
ทั้งนี้ รมว.มหาดไทย ไม่ขอตอบว่ามีการหารือกับประเทศเพื่อนบ้านในประเด็นดังกล่าวหรือไม่ รวมไปถึงจะมีการนำเสนอเข้าเป็นวาระของอาเซียน เนื่องจากเกินอำนาจของตน ส่วนจะต้องดำเนินการเคอร์ฟิวหรือไม่ ไม่ใช่อำนาจตนในการพิจารณาเรื่องนี้ เป็นอำนาจของผู้ว่า กทม. และผู้ว่าฯจังหวัด
ส่วนกรณีการแก้ปัญหาสารกัมมันตภาพรังสี ซีเซียม 137 ที่จังหวัดปราจีนบุรี พล.อ.อนุพงษ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมพบว่าไม่มีผลกระทบที่ส่งผลต่อประชาชนในพื้นที่ จึงไม่จำเป็นต้องประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัย โดยหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องเป็นผู้ประกาศว่าเป็นพื้นที่ประสบภัยอย่างไร เพราะเป็นเพียงการพบรังสีแค่ระยะรัศมี 1-2 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ท้องถิ่นก็ไม่มีเครื่องมือในการตรวจวัด
ทั้งนี้ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวพยามสอบถามประเด็นทางการเมืองกับ พล.อ.อนุพงษ์ ว่าขอถามประเด็นการเมืองซักนิดนึงได้ไหม พล.อ.อนุพงษ์ รีบตอบกลับมาทันทีว่าไม่ได้ พร้อมเดินออกจากวงทันที
นริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงภัยพิบัติเรื่องฝุ่น PM 2.5 ว่า ถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศที่จำเป็นจะต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย และคิดว่าในวันข้างหน้าจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี เข้ามาแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ต้องมีพื้นที่โซนนิ่งในการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่านี้ ตัวยกตัวอย่าง การบริหารจัดการฝุ่นของกรุงปักกิ่ง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ให้แหล่งก่อฝุ่นละอองออกนอกกรุงปักกิ่ง
ดังนั้นในวันข้างหน้าประเทศไทยก็น่าจะจำเป็นที่จะให้แหล่งก่อฝุ่นละออง ออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯ เช่นกัน แต่ในปัจจุบันประเทศไทยยังคงสามารถรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองได้อยู่ รวมไปถึงเรื่องภัยพิบัติด้านพายุฤดูร้อน ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทย ได้มอบให้หน่วยงานในพื้นที่ ติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวด้วยว่าในส่วนของการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง กำลังดูเรื่องการเตรียมงบประมาณปี 67-68 และใน 4 ปีข้างหน้า เราจะมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ ดีกว่านี้และมีการเตรียมการเอาแหล่งก่อฝุ่นละอองออกจากกรุงเทพฯ ให้ได้ รวมไปถึงจุดต่างๆ ที่เป็นแหล่งก่อฝุ่นละออง ยืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ ส่วนการดูแลปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือมีมากจนประชาชนมีการหายใจที่ลำบาก ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ ในการโปรยน้ำเพื่อลดฝุ่นละออง
ส่วนอากาศร้อนก็ถือว่าเป็นภัยพิบัติที่หลายประเทศได้มีการประกาศ แต่ในส่วนของประเทศไทยไม่ได้มีการประกาศ เพราะตอนนี้อุณหภูมิยังไม่ถึง 40 องศา พร้อมกล่าวว่าขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก็ต้องมีมาตรการดูแลเกี่ยวกับเรื่องของการสัญจรไป-มา การลดอุบัติเหตุ