ไม่พบผลการค้นหา
ในสภาวะความตึงเครียดระหว่าง “ยูเครน-รัสเซีย” ที่ขยายวงเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง ‘NATO’ นำโดยสหรัฐฯ กับ รัสเซีย ทำให้สถานการณ์ระอุไปทั่วโลก สำหรับ “ไทย” ในฐานะมิตรประเทศของทั้ง “รัสเซีย-สหรัฐฯ” แสดงจุดยืน “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”

แม้ไทยจะเป็น 1 ใน 141 ประเทศ ที่หนุนมติ UNGA เรียกร้องยุติปฏิบัติการทหารในยูเครน ซึ่งเรื่องนี้ “เยฟกินี โทมิคิน” เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ได้จัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ยังคงชื่นชมจุดยืนไทยที่ “วางสมดุล” โดยเชื่อว่าถูกแรงกดดันจากชาติตะวันตก

แม้ “กองทัพไทย” จะถอดแบบ “หลักนิยม” มาจากสหรัฐฯ และมีความแนบชิดกับสหรัฐฯอย่างมาก แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา “ดุลมหาอำนาจ” ของโลกเปลี่ยนไป เป็นโลกยุค “หลายขั้วมหาอำนาจ” ทำให้กองทัพไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ เช่น การฝึกผสม การจัดหายุทโธปกรณ์ ที่กองทัพไทยมีทั้งกับ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย รวมทั้งหลักสูตรการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา การเยือนต่างๆ เป็นต้น

ทว่าเหตุการณ์ในสัปดาห์ทำให้ ทบ. ตกเป็นเป้าในสถานการณ์ที่อ่อนไหวทันที หลัง “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ได้ไปพบปะกับ “ทูตรัสเซีย” หารือความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสำนักข่าวของรัสเซีย เพื่อนำเสนอข่าวทั้ง 2 ด้าน ควบคู่สื่อตะวันตกที่ ททบ.5 รับข่าวต่างประเทศจาก “รอยเตอร์” เพียงฝ่ายเดียวในขณะนี้ เพราะปัจจุบันที่มีการสร้าง “เฟกนิวส์” นำมาเป็น “สงครามข่าวปลอม” ขึ้นมา

ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ พล.อ.รังษี และ ททบ.5 ถูกวิจารณ์ทันที โดยเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2565 ได้มีการแจ้งกำหนดแถลงข่าวของ พล.อ.รังษี เกี่ยวกับการประสานข่าวสารกับสถานฑูต จีน รัสเซีย เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ ททบ.5 แต่ก็ได้แจ้งยกเลิกในช่วงค่ำเมื่อวันทีื 23 มี.ค.ที่ผ่านมา

รังษี ช่อง5 -E0E9-473D-9A68-4399288602F5.jpeg

สำหรับ ททบ.5 อยู่ภายใต้ ทบ. โดยมี ผบ.ทบ. เป็น ประธานบอร์ด ททบ. ปัจจุบัน คือ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ โดยเป็นเพื่อน ตท.22 กับ พล.อ.รังษี ซึ่งที่ผ่านมา ผอ.ช่อง 5 ส่วนใหญ่จะเป็นคนสายตรง ผบ.ทบ. ในการมาคุมช่อง 5 จึงทำให้ ทบ. ตกเป็นเป้าครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รวมทั้งสะเทือนมาถึง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กลาโหม ที่กำกับดูแลเหล่าทัพด้วย ซึ่งทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ไม่ได้ชี้แจงใดๆ มีเพียง พล.อ.รังษี ที่เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ยอมรับว่า ผบ.ทบ. ก็ทราบเรื่องนี้

“ผมตรึกตรองแล้วว่าสิ่งที่ทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์ด้านข่าวสาร ผบ.ทบ. ก็ไม่เคยสั่งการอะไร เวลาผมทำอะไรก็จะรายงานท่านในฐานะประธานบอร์ด ซึ่งการไปพบทูตแต่ละประเทศก็จะเรียนท่านว่าไปแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ท่านก็ไม่ได้ถามว่าไปทำไม มีรายละเอียดอย่างไร ผมมาเป็น กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 มา 1 ปีครึ่ง ผบ.ทบ. ไม่เคยสั่งการอะไรเป็นพิเศษ ให้ผมทำไปตามหน้าที่ คำนึงถึงเรื่องกฎหมาย” พล.อ.รังษี กล่าว

“ผมและผบ.ทบ.คบกันมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วยกัน อยู่กันมา43ปี รู้ว่าท่านไม่ชอบให้ทำอะไรที่ขัดกับความจริง เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็นคนตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นผมจะทำทุกอย่างที่ไม่ทำให้เขาไม่สบายใจ เขาก็รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมก็รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นใครจะลากกองทัพบกมาเกี่ยวข้อง ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย” พล.อ.รังษี กล่าวเพิ่ม

ซึ่งงานนี้ว่ากันว่าผู้ที่เป็น “ผู้ประสานคนสำคัญ” คือ “ไพศาล พืชมงคล”อดีตที่ปรึกษารองนายกฯ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ปัจจุบันเป็น เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ที่ปรากฏตัวร่วมโต๊ะและถ่ายภาพร่วมกับ พล.อ.รังษี กับทูตรัสเซียด้วย

ล่าสุดเมื่อ 24 มี.ค. 2565 “ไพศาล พืชมงคล” ได้โพสต์ข้อความว่า ผอ.ช่อง 5 ได้เข้าพบกับอุปทูตยูเครนประจำประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมมือกันในเรื่องข้อมูลข่าวสาร เช่นเดียวกับที่ ททบ. 5 ได้ทำความตกลงกับสำนักข่าวและประเทศอื่น ทำให้กระแสโจมตี ช่อง 5 ลดลงไปด้วย

รังษี ช่อง5 -9E6E-71BCA5109376.jpeg

ก่อนหน้านี้เอง ททบ.5 ก็ตกเป็นเป้าถูกนำไปอภิปรายผ่าน “ศึกซักฟอก” หลัง “สมคิด เชื้อคง”ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอนุญาตให้ช่อง “ท็อปนิวส์” ในนาม บริษัทแกแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์เปอร์เรชั่น เข้าไปร่วมผลิตรายการกับ ททบ.5 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ไม่รอบคอบเพราะเป็นคนควบคุมที่รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่ และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติแห่งชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลุ่มบุคคลใด ใช้ประโยชน์ต่อคลื่นความถี่ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน และเป็นการปล่อยปะละเลยให้ ททบ.5 ดำเนินการไม่โปร่งใส ก่อให้เกิดความเสียหาย ความมั่นคงของรัฐ และสาธารณะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้ “สมคิด” อภิปรายในขณะนั้นว่า ทบ. เป็นผู้ถือหุ้น 19 ล้านหุ้น ถือว่าเป็นเจ้าของ ททบ.5 ต่อมา ททบ.5 ได้แปรสภาพเป็น “บริษัทมหาชน” เมื่อ 19 ก.ย. 2546 แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น บ.อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพร์ท จำกัด (มหาชน) และ ทบ. ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งผู้ที่เข้ามาบริหารส่วนใหญ่ มาจาก ทบ.

ต่อมา พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. ชี้แจง ว่า ททบ.5 เป็นกิจการด้านสื่อสารมวลชน ภายใต้การกำกับดูแลของ ทบ. มีสถานะเป็นผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ภายใต้การกำกับดูแล กสทช. ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการบริการสาธารณะประเภทที่ 2 ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยสาธารณะ โดยไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางราชการ และยังมีผู้จัดรายการและพันธมิตร ร่วมผลิต ซึ่งปัจจุบัน ททบ. บริหารจัดการสถานีด้วยตนเอง 

ส่วนความร่วมมือกับบริษัท กาแล็กซีฯ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ ระบุว่า ถือเป็นเรื่องปกติ เหมือนการบริหารจัดการของสถานีโทรทัศน์ทั่วไป และบริษัทกาแล็กซีฯ ไม่ได้มีส่วนเข้ามาในการบริหารสถานี แต่ได้มีการกำหนดการจัดแบ่งรายได้และการประกันรายได้ขั้นต่ำ 65 ล้านบาทต่อปี หากมีรายได้เพิ่มขึ้น ททบ. ก็จะได้รับมากขึ้นตามสัดส่วน

ในยุคที่ ททบ.5 ต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายและเรตติ้งตก ทำให้ ผอ.ช่อง 5 ในยุคหลัง ต้องแก้ปัญหาสภาวะขาดทุนสะสมและกระตุ้นเรตติ้ง ดังนั้นการดึง “ท็อปนิวส์” มาร่วมผลิตรายการข่าว ก็เพื่อฟื้นเรตติ้งและแก้ปัญหาขาดทุน ซึ่งโปรเจกต์การดึง “เอกชน” มาร่วมผลิตมามีตั้งแต่ยุค “บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ขณะเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็น ประธานบอร์ด 5 โดยตำแหน่ง แต่แผนก็ถูกพับไป 

รังษี ช่อง5 A-E8CD33899A11.jpeg

(พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5)

ตั้งแต่ พล.อ.รังษี ขึ้นเป็น ผอ.ช่อง 5 ถือเป็น “เจ้าพ่อโปรเจกต์” ต่างๆ เช่น การจับมือกระทรวงเกษตรฯ ทำอีคอมเมิร์ซกับ JD .com ของประเทศจีน ซึ่งทาง JD .com จะเป็นผู้รับออร์เดอร์ให้ไทย และส่งออร์เดอร์ดังกล่าวกลับมาให้ OHLALA SHOPPING .com ซึ่งเป็นตัวกลางแพลตฟอร์มออนไลน์ของไทย เช่น ทุเรียน ข้าวหอมมะลิ รวมทั้งสินค้าผ้าไหมไทย เครื่องสำอาง เครื่องหนัง เป็นต้น

ย้อนไป ม.ค. 2564 ททบ.5 โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้ลงนามกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการศึกษา ความเป็นไปได้ในการพัฒนา “โรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก” โดยมี พล.ท.รังษี ร่วมเป็นพยานการลงนาม เพื่อผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์บนพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมในการดูแลของ ทบ. ในภูมิภาคต่างๆ กว่า 4.5 ล้านไร่ เช่น ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 3 แสนไร่ ในการทำโซลาร์ฟาร์มผลิตกระแสไฟฟ้า

ทั้งหมดนี้เพราะ พล.อ.รังษี มีความเชื่อที่ว่า ช่อง 5 พึ่งพาเรตติ้งเพื่อสร้างรายได้ไม่ได้ หลังเคยกล่าว หลังรับตำแหน่ง ผอ.ช่อง 5 เมื่อ ต.ค. 2563 ว่า “ช่อง5 พึ่งพาเรตติ้งไม่ได้ เราเหมือนจระเข้ที่อยู่ในฟาร์ม มีแต่คนโยนไก่ให้กิน มาถึงตอนนี้ต้องออกจากฟาร์ม เพราะขนาดจระเข้ก็ยังไปไม่เป็น” จึงเป็นที่มาหลายโปรเจกต์ของ พล.อ.รังษี ทำให้ ททบ.5 ในยุคนี้ถูกโฟกัสหลายครั้ง ซึ่งจะเจ้าตัวจะเกษียณฯ ใน ต.ค.นี้ อีก 6 เดือนจากนี้ จะมีโปรเจกต์ใดอีกหรือไม่ แต่เป็น “งานหิน” ของ ผอ.ช่อง 5 คนต่อไป แน่นอน