งานส่วนใหญ่เป็น ‘ภารกิจรูทีน’ อาจมีเพิ่มเติมตามที่รัฐบาลสั่งการลงมา ผ่านสายบังคับบัญชาระหว่าง ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ รมว.กลาโหม ที่สั่งผ่านมายัง ผบ.เหล่าทัพ เช่นในการประชุมสภากลาโหม
ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะไม่แสดงบทบาทนำมากนัก ไม่ออกตัวแรง ไม่เปลืองตัวปกป้องรัฐบาล หากเทียบกับ ผบ.ทบ. ยุคก่อนหน้านี้ แม้แต่ ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ที่มีแอ็คชั่นอย่างมาก
ปรากฏการณ์ที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ นำ ทบ. ออกตัวแรงมีหลักๆ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเริ่มจากกรณี ทบ. สั่งแสตนบายรถบรรทุกทหาร 3,700 คัน โดยรอคำสั่งรัฐบาล หลังผู้ประกอบการรถบรรทุกขู่หยุดวิ่ง เหตุราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น เมื่อปี 64 โดยจุดเริ่มต้นในการ ‘ส่งสัญญาณ’ มาจาก พล.1 รอ. ที่ได้เตรียมรถทหารแสตนบาย ก่อนที่ ทบ.ส่วนกลาง จะสั่งการเป็นทางการออกมา ว่ากันว่าการที่ พล.1 รอ. นำร่องก่อนใคร เพราะมี ‘บิ๊ก ด.’ ทำการ ‘สะกิด’ ลงมา จากนั้นก็เป็นแรง ‘กระทุ้ง’ ไปยัง บก.ทบ. เป็นทอดๆไป
ต่อมา ทบ. ก็นิ่งเงียบ ทำงานตาม ‘ระเบียบปฏิบัติประจำ-รปจ.’ หรืองานลูทีน จนมาถึงเหตุการณ์ ‘นาราเอฟเฟกต์’ ที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ออกตัวแรงชนิดฟ้าผ่า นำหน้ารัฐบาล สั่งหน่วย ทบ. งดใช้บริการ ‘ลาซาด้า’ พร้อมสั่งห้าม ‘ลาซาด้า’ เข้าหน่วยทหาร ทบ. ลามไปถึง ผบ.เหล่าทัพ อื่นๆด้วย
ในส่วน ทอ.-ทร. ไม่ถึงขั้นสั่งห้าม แต่ขอให้กำลังพลพิจารณาการใช้บริการเท่านั้น ส่วน บก.กองทัพไทย ‘บิ๊กแก้ว’พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด ก็มีแอคชั่นที่ชัดเจนที่สุดในบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ทุกคน ย้ำถึงการปกป้องสถาบันหลักเป็นสำคัญ ไม่ยอมให้กลุ่มบุคคลใดล่วงเกินสถาบันสูงสุดเด็ดขาด พร้อมกำชับกำลังพลให้อยู่ใน ‘จริยธรรมทหาร’
จากนั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ผบ.ทบ. ก็ให้สัมภาษณ์สื่อในเรื่องนี้ยาว หลังไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ-เลี่ยงพูดการเมือง มานานเกือบปี ซึ่งคำพูดของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ถูกตีความอย่างมาก โดยเฉพาะการ ‘ส่งสัญญาณไฟเขียว’ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการบังคับใช้กฎหมายปกติ
หลัง พล.อ.ณรงค์พันธ์ ถูกถามว่าถ้าในอนาคตมีลักษณะการกระทำที่หมิ่นเหม่อย่างนี้ จะออกมาอยู่แถวหน้าในการปกป้องอีกหรือไม่ โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า “เราทุกคนมีหน้าที่ ที่จะต้องทำ ตามหน้าที่บทบาทของตนเอง ทุกคน ทุกองค์กร”
โดยในช่วงเวลานี้เองที่ ‘แอคเคาท์ทวิตเตอร์’ ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้หยุดนิ่ง ไม่มีการทวีตหรือกดถูกใจ มาตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. 2565 ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ไม่เคยชี้แจง มีเพียงแต่ ‘ความนิ่ง’ เท่านั้น
ผ่านมา 1 เดือน จากเหตุการณ์ ‘นาราเอฟเฟกต์’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ได้ออกคำสั่ง ‘เลิกบอยคอตต์’ ลาซาด้าออกมา โดยอนุญาตให้ ‘ลาซาด้า’ เข้าพื้นที่หน่วย ทบ. อีกครั้ง เพราะผู้ผลิต ‘สื่อโฆษณา’ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว
หากเปรียบเทียบกับกรณี ‘จีที 200’ ที่ถูกพรรคก้าวไกลปลุกขึ้นมาอีกครั้ง หลัง ทบ. ทำสัญญาจ้าง 7.5 ล้านบาท ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไปตรวจสอบเครื่อง GT200 รวม 757 เครื่อง ซึ่ง ทบ. ก็ ‘ทิ้งเวลา’ หลายวัน ก่อนออกมาชี้แจงให้เคลียร์ต่อสังคม ปล่อยให้หน่วยงานอื่นๆทั้ง ‘กลาโหม-อัยการสูงสุด’ ออกมาชี้แจงจนกลายเป็น ‘คนละเรื่องเดียวกัน’ กลายเป็น ‘โยนกันไปโยนกันมา’ ไม่รวดเร็วเท่ากับกรณี ‘นาราเอฟเฟกต์’ ที่บอยคอตต์ลาซาด้า
ต่อมา พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้สั่งการให้ กรมดุริยางค์ ทบ. กับกรมกิจการพลเรือน ทบ. จัดกิจกรรม ‘ดนตรีในสวน’ ขึ้นมาอีกครั้ง หลังเว้นว่างมานานจากสถานการณ์โควิด หลังถูกวิจารณ์ว่า ‘เลียนแบบ’ ใครหรือไม่
ทบ. ก็ชี้แจงว่าทำมานานแล้ว โดยจัดทั้งในพื้นที่ กทม. และขยายไปพื้นที่ต่างจังหวัด ที่มอบหมายให้ ‘มณฑลทหารบก’ แต่ละพื้นที่รับผิดชอบ เพราะแต่ละ มทบ. มี ‘หมวดดุริยางค์’ อยู่แล้ว โดยปรับรูปแบบดนตรีให้เข้ากับอัตลักษณ์ท้องถิ่นด้วย
ขณะที่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. เปิดเผยถึงเจตนารมณ์ของ ผบ.ทบ. ให้ ‘หน่วยทหาร’ ทำความดีเพื่อสังคม สร้างความรัก ความเอื้ออาทร ความปรารถนาดีต่อกัน
ล่าสุด พล.อ.ณรงค์พันธ์ สั่งจัด Happy Time ช่วงเวลากลางวัน-ช่วงบ่ายของ ‘วันพุธบ่าย’ ที่เป็น ‘วันกีฬา’ ของ ทบ. อยู่แล้ว ในการ ‘เติมความสุข’ ให้ทหาร จัดแสดงดนตรี การแสดง พร้อมฉายสารคดีสั้น คลิปสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความสามัคคีในองค์กร พร้อมมอบรางวัลให้กำลังพลผู้โชคดี รวมทั้งจัด ‘ตลาดนัดกำลังพล’ นำร่องที่ บก.ทบ.ราชดำเนิน ขยายไปหน่วยทหารอื่นๆ ช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.นี้
แต่ใช่ว่า ทบ. จะนิ่งดูดายกับสถานการณ์นอกรั้ว ทบ.
โดยล่าสุด ทบ. ได้ขยับอีกครั้ง หลัง พล.อ.ณรงค์พันธ์ นำ ทบ. จับมือนักวิชาการพลเรือน-ทหาร จัดบรรยายวิชาการ “การอยู่ร่วมกันสันติวิธี”
โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้ย้ำถึงแนวทาง ‘สันติวิธี’บนความเห็นต่าง ผ่านการพูดคุยในระดับที่เหมาะสม เพื่อเตรียมการด้านความมั่นคง รองรับสถานการณ์ในอนาคต โดยเตรียมจัดบรรยายต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติงานด้วย
ซึ่งคีย์เวิร์คสำคัญอยู่ที่คำว่า ‘สถานการณ์ในอนาคต’ กับสถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ในช่วง ‘เปลี่ยนผ่านรัฐบาล’ อีกครั้งในเวลาไม่ถึง 1 ปีต่อจากนี้ แต่ในเวลานั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ยังคงเป็น ผบ.ทบ. ที่คุมกำลังอยู่ในมือ การวางบทบาทและทุกฝีก้าวของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะถูกจับตามากขึ้นเรื่อยๆ
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ทบ. จึงเป็นลักษณะ ‘สายลมแสงแดด’ ที่เป็นการลอยไปตาม ‘สายลม’ ไม่ทวนกระแส ไม่ออกตัวแรง ไม่เปลืองตัว
แต่อีกด้านก็ใช้อำนาจดุจ ‘แสงแดด’ ที่สาดส่อง ผ่านแอ็คชั่นที่ทั้งแรงและชัดเจน ชนิดที่ไม่หวั่นต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง