ฝ่ายค้านเกาหลีใต้เร่งรัฐบาลให้ประกาศเขตภัยพิบัติทางธรรมชาติในกรุงโซล หลังปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กพุ่งสูงกว่า 130 ไมโครกรัม/ลบ.ม. พร้อมประสานจีนรับผิดชอบในฐานะ 'ต้นกำเนิดมลพิษ' ด้วยการช่วยทำ 'ฝนเทียม' เพื่อลดฝุ่น โดยเชื่อว่าจีนมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเพียงพอจะช่วยเหลือ
นายมุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกประชุมด่วนกับคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเกาหลีใต้ ภายหลังจากปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศของกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ พุ่งสูงกว่า 130 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และพรรคฝ่ายค้านเกาหลีใต้ก็เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศเขตภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อหามาตรการรับมือมลพิษทางอากาศที่กำลังส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน
ภายหลังจากการประชุมเร่งด่วน โฆษกของรัฐบาลเกาหลีใต้แถลงสรุปว่า ประธานาธิบดีมุนแจอินจะหารือกับรัฐบาลจีน เพื่อหารือถึงข้อตกลงในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศที่กำลังปกคลุมทั่วกรุงโซล เนื่องจากฝุ่นควันจำนวนหนึ่งมีต้นทางมาจากจีน และถูกพัดมายังเกาหลีใต้ผ่านทางทะเลเหลือง ซึ่งเป็นน่านน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างจีน เกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ
โฆษกรัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่า มาตรการหนึ่งที่จะใช้แก้ปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงโซล ได้แก่ การทำฝนเทียม ซึ่งจีนเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าในด้านนี้ ทั้งยังประสบความสำเร็จในการลดมลพิษทางอากาศในกรุงปักกิ่งมาก่อนแล้ว ส่วนมาตรการอื่น ๆ จะรวมถึงการพิจารณาติดตั้งเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ตามโรงเรียนต่าง ๆ และพื้นที่สาธารณะ รวมถึงเตรียมออกคำสั่งระงับการทำงานของโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม นายหลูกัง โฆษกรัฐบาลจีน แถลงตอบโต้รัฐบาลเกาหลีใต้ โดยระบุว่า การกล่าวหาจีนเป็นต้นตอมลพิษทางอากาศในกรุงโซล ออกจะเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เพราะรัฐบาลทั่วโลกต่างก็รู้ดีว่าปัญหามลพิษทางอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละเมืองมีความซับซ้อนและมาจากหลายสาเหตุประกอบกัน
นายหลูกังระบุด้วยว่า ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงปักกิ่งของจีนในปัจจุบันมีน้อยกว่าฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ตรวจวัดได้ในกรุงโซล ของเกาหลีใต้ จีนจึงไม่ใช่ผู้ที่ควรต้องมารับผิดชอบต่อปัญหามลพิษทางอากาศของเกาหลีใต้ แต่ถ้าหากเกาหลีใต้ต้องการความช่วยเหลือ จีนก็พร้อมให้ความร่วมมือ
จากกรณีดังกล่าว ทำให้ทางการเกาหลีใต้แถลงเพิ่มเติมภายหลังว่า มลพิษทางอากาศในประเทศจีนที่ส่งผลกระทบต่อกรุงโซล มีต้นตอจากนครเซี่ยงไฮ้ พัดผ่านมาทางทะเลเหลือง และการทำฝนเทียมเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กในน่านน้ำทะเลเหลืองก็จะเป็นประโยชน์ต่อฝั่งจีนเช่นเดียวกัน
สื่อของเกาหลีใต้ 'โคเรียไทม์ส' รายงานด้วยว่า ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศที่ค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่ร่างกายมนุษย์รับได้ ไม่ควรจะเกิน 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศทั่วกรุงโซลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 136 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเข้าข่ายเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข
ส่วนองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในเกาหลีใต้ระบุว่า การปล่อยให้ปัญหามลพิษทางอากาศเกิดขึ้นเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่อประชากรที่มีฐานะยากจน รวมไปถึงชนชั้นกลางที่ต้องแบกรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อหาหน้ากากป้องกันมลพิษ หรือเครื่องกรองอากาศมาติดตั้งเพื่อบรรเทาหรือป้องกันความเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่มีสาเหตุจากการสูดดมมลพิษในชีวิตประจำวัน แต่กลุ่มคนรายได้สูงหรือมหาเศรษฐี จะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหามลพิษมากนัก
ขณะเดียวกัน กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าป้องกันมลพิษที่มีรายได้และมูลค่าในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงเริ่มรวบรวมรายชื่อผ่านเว็บไซต์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมสินค้าประเภทหน้ากากกันฝุ่น รวมถึงเครื่องฟอกอากาศ ไม่ให้ราคาถีบตัวสูงเกินจริง
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ด้านวิทยาศาสตร์ Science Alert ระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่บ่งชี้ว่าการทำฝนเทียมช่วยลดมลพิษทางอากาศได้มากน้อยเพียงใด จึงยังไม่สามารถประเมินได้ว่าการทำฝนเทียมมีความคุ้มค่าพอที่จะใช้เป็นมาตรการรับมือฝุ่นละอองขนาดเล็กได้จริงหรือไม่
สำหรับประเทศไทยนั้น ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาทางภาคเหนือของไทยยังคงเผชิญกับสภาวะมลพิษทางอากาศกันอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากไฟป่าที่เกิดขึ้นนับพันจุด ส่งผลให้ค่าฝุ่นพิษในหลายจังหวัดพุ่งสูงเพียงข้ามคืน อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ค่า PM 2.5 วัดได้ถึง 77 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในวันที่ 11 มีนาคม สูงที่สุดในรอบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองเชียงใหม่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาตลอดทั้งวัน ดอยสุเทพถูกบดบังจนมองไม่เห็น ประชาชนได้รับผลกระทบ แสบตา แสบจมูกทั่วทั้งพื้นที่ทัศนวิสัยการมองเห็นลดลง