'จีเอ็ม' ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สัญชาติอเมริกัน จะปิดโรงงาน 5 แห่ง และปลดพนักงานกว่า 14,000 คนในสหรัฐฯ-แคนาดา อ้างเป็นการปรับโครงสร้างการผลิตรถยนต์ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ หรือ จีเอ็ม ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะหยุดการผลิตรถยนต์ในโรงงาน 5 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา รวมไปถึงการปลดคนงานอีก 14,700 คน เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิต เป็นผลสืบเนื่องจากที่ยอดขายรถยนต์ซีดานลดลง และอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการตั้งกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน จีเอ็มก็ระบุว่านี่คือการปรับโครงสร้างการผลิตรถยนต์ โดยเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปเน้นที่การผลิตรถยนต์อัตโนมัติและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทน
การตัดสินใจปรับโครงสร้างการผลิตของจีเอ็มในครั้งนี้เว็บไซต์ Time รายงานว่า เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ ต่างชะลอตัวและยอดขายลดลง โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กว่า 65% ของรถที่ขายได้นั้นเป็นรถ SUV และรถกระบะ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของรถยนต์เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
การปรับโครงสร้างดังกล่าวรวมไปถึงการปลดคนงานประมาณ 14,700 คน ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ มีพนักงานราว 8,000 คนที่จะถูกปลดซึ่งเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในส่วนโรงงานหรือภาคการผลิต และอีกราว 8,100 คนซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานในฝ่ายสำนักงาน โดยจำนวนดังกล่าวนี้คิดเป็นอัตราส่วน 15% ของพนักงานทั้งหมดในอเมริกาเหนือ ส่วนพนักงานแผนกอื่น ๆ อีกกว่า 18,000 คนเป็นกลุ่มพนักงานที่ได้รับการเสนอให้เข้าโครงการสมัครใจลาออก
ตัวเลขการปรับลดพนักงานดังกล่าวนั้นคิดเป็นอัตรา 8% ของพนักงานจีเอ็มทั่วโลกที่มีอยู่ 180,000 คน ซึ่งทางจีเอ็มยังกล่าวอีกว่า อาจจะหยุดการผลิตของโรงงานรถยนต์อีก 2 แห่งที่ตั้งอยู่นอกสหรัฐฯ และแคนาดาด้วย โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางจีเอ็มได้ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองกุนซานของเกาหลีใต้ไปแล้ว
ปัจจัยสำคัญของเหตุการณ์นี้คือกรณีสงครามการค้าและกำแพงภาษีที่กำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและถือเป็นอุปสรรคใหญ่ของการผลิตรถยนต์ โดยแมร์รี่ บาร์ร่า ผู้บริหารของจีเอ็มกล่าวว่า กำแพงภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและเหล็กนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลทำให้บริษัทตัดสินใจปรับโครงสร้างในครั้งนี้
ขณะที่มิเชล ครีบส์ นักวิเคราะห์ของ Autotrader กล่าวว่า มีปัจจัยหลากหลายที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ของจีเอ็ม ทั้งการชะลอตัวของตลาดจีนและตลาดสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้หันไปใช้รถยนต์อเนกประสงค์มากกว่ารถยนต์ส่วนตัวในแบบเดิม รวมไปถึงผลกระทบจากกำแพงภาษีและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จีเอ็มประกาศปลดคนงานกว่า 10,000 คน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความโจมตีจีเอ็ม โดยระบุว่า เขาผิดหวังกับทางจีเอ็มและผู้บริหารจีเอ็มเป็นอย่างมาก ที่ตัดสินใจจะปิดโรงงานในสหรัฐฯ ทั้งที่โอไฮโอ มิชิแกน และแมรี่แลนด์ แต่กลับไม่มีการปิดโรงงานในเม็กซิโกหรือจีนเกิดขึ้นเลย พร้อมระบุว่า สหรัฐฯ เคยช่วยอุ้มจีเอ็มเอาไว้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แต่กลับได้รับคำขอบคุณเป็นการปิดโรงงานผลิตแทน
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่ว่าจะตัดความช่วยเหลือในมาตรการด้านภาษีต่าง ๆ ที่มีให้แก่จีเอ็ม รวมไปถึงเรื่องการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วย อย่างไรก็ตาม ทางจีเอ็มออกมาประกาศว่าจะยังคงเปิดโรงงานผลิตในสหรัฐฯ ที่มีอยู่อีกหลายแห่งต่อไป และคนงานจีเอ็มในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ก็ยังมีโอกาสทำงานในภาคการผลิตใหม่ที่มีแนวโน้มจะเติบโตในอนาคตของจีเอ็ม
ด้านนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา แสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ของบริษัทจีเอ็ม โดยเขากล่าวในทวิตเตอร์ว่า คนงานของจีเอ็มเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของเมืองโอชาวา และแคนาดาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยครอบครัวของคนงานที่ได้รับผลกระทบจากการตกงานในครั้งนี้ ซึ่งในโอชาวา มีคนงานของบริษัทจีเอ็มอยู่ประมาณ 2,500 คน เพื่อผลิตรถยนต์เชฟโรเลตและคาร์ดิแลก
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีเอ็มเกาหลีใต้ประกาศว่าจะปิดโรงงานและดำเนินโครงการให้พนักงานลาออกด้วยความสมัครใจช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส เกาหลีใต้ หรือ GM Korea ซึ่งประสบภาวะขาดทุนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายรถยนต์จีเอ็มทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง