นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีสนับสนุนศาลสูงบังกลาเทศ ที่ตัดสินให้รัฐบาลยกเลิกข้อบังคับให้ผู้หญิงมุสลิมระบุในใบสมรสว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์หรือไม่ แต่ให้เปลี่ยนไปใช้คำว่า 'โสด' แทน
ที่ผ่านมา กฎหมายว่าด้วยการแต่งงานและการหย่าร้างของบังกลาเทศ บังคับให้ผู้หญิงต้องระบุสถานะก่อนแต่งงานลงในใบจดทะเบียนสมรส โดยมีตัวเลือก 3 ข้อ ได้แก่ หญิงพรหมจรรย์ หย่าร้าง หรือเป็นหม้ายจากการที่คู่สมรสเสียชีวิต ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนในบังกลาเทศได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาล ให้พิจารณายกเลิกคำว่า 'กุมารี' ที่แปลว่า 'หญิงพรหมจรรย์' โดยให้เหตุผลว่า การระบุคำดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งยังเป็นการสร้างค่านิยมที่ส่งผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศในสังคมบังกลาเทศอีกด้วย
การร้องเรียนให้ศาลบังกลาเทศพิจารณายกเลิกคำว่า 'กุมารี' ในใบสมรส เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2014 และกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายปี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลสูงของบังกลาเทศวินิจฉัยว่า รัฐบาลจะต้องพิจารณายกเลิกการระบุคำว่า หญิงพรหมจรรย์ ในใบสมรส และให้เปลี่ยนไปใช้คำว่า 'โสด' แทน ทั้งยังระบุด้วยว่า ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
นาฮาร์ คัมราน ทนายความตัวแทน 3 กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เรียกร้องให้ยกเลิกคำว่าหญิงพรหมจรรย์ เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า กฎหมายบังกลาเทศระบุชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ผู้หญิงและผู้ชายนั้น 'เท่าเทียมกัน' แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ผู้หญิงบังกลาเทศยังไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีบทบาททางสังคมเท่าเทียมกับผู้ชาย และแม้แต่การเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างสิทธิส่วนบุคคล ก็ยังไม่แพร่หลายนัก เห็นได้ชัดจากการที่ผู้หญิงต้องระบุว่าตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ก่อนที่จะจดทะเบียนสมรส ขณะที่ผู้ชายไม่ต้องระบุสถานะเหล่านี้เลย
คัมรานระบุว่า คำตัดสินของศาลบังกลาเทศที่ให้ยกเลิกคำว่าหญิงพรหมจรรย์ ถือเป็นคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ เพราะสวนทางกับค่านิยมของสังคม แต่ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่า รัฐบาลจะดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลสูงอย่างจริงจังและรวดเร็วเพียงใด
นอกจากนี้ นักสิทธิมนุษยชนต่างประเทศยังระบุด้วยว่า การบังคับให้ผู้หญิงต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในใบสมรสเป็นเพียงปัญหาหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายแต่งงานในบังกลาเทศ เพราะประเด็นที่น่าเป็นห่วงกว่าคือมาตราหนึ่งของกฎหมายนี้ ที่ระบุว่า เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถสมรสได้ถ้าผู้ปกครองอนุญาต และเห็นว่าการแต่งงานนั้นเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้สมรสเอง โดยนักเคลื่อนไหวมองว่า กฎหมายดังกล่าวทำให้เกิดปัญหา 'เจ้าสาววัยเยาว์' ซึ่งเยาวชนถูกบังคับให้แต่งงานทั้งที่ยังไม่พร้อม และหลายครั้งนำไปสู่ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศอีกด้วย