นับตั้งแต่ก่อนมีวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยออกมาประเมินว่าอีกไม่นานจีนจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งเศรษฐกิจโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี ข้อมูลใหม่จากศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจ (cebr) ในสหราชอาณาจักรระบุว่า การล้มยักษ์ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์ในอดีตถึง 5 ปี หรืออาจเกิดการเปลี่ยนมือขึ้นในปี 2571 ที่จะถึงนี้ โดยมีปัจจัยส่งเสริมสำคัญจากเชื้อไวรัสโคโรนา-2019
เท่านั้นยังไม่พอ จีนจะขยับตัวเองขึ้นมาอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงภายในปี 2566 หรืออีกเพียง 3 ปีต่อจากนี้ ขณะที่ประเทศในเอเชียอย่างอินเดีย ได้รับการประเมินว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกในอีกทศวรรษให้หลัง นับเป็นการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากตำแหน่งที่ 6 เศรษฐกิจโลกในปี 2563
หากนับตามข้อมูลปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังครองตำแหน่งผู้นำเศรษฐกิจโลกตามมาด้วยจีน ขณะที่ญี่ปุ่นติดอยู่ในอันดับที่ 3 และมีเยอรมนีพร้อมสหราชอาณาจักรไล่เลียงในอันดับที่ 4 และ 5 ลำดับ ขณะที่อินเดียอยู่ในลำดับที่ 6 และมีฝรั่งเศสปิดท้ายในลำดับที่ 7 โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ อันดับเศรษฐกิจของฝรั่งเศสจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงตลอด 15 ปีนับแต่นี้ไป
ขณะประเทศในฝั่งเอเชียที่รายงานชี้ว่ามีความโดนเด่นในการเติบโตแบบก้าวกระโดดประกอบไปด้วย เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ซึ่งอยู่อันดับที่ 38 ในปี 2562 และคาดว่าจะขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 22 ในปี 2577 ตามมาด้วยบังกลาเทศที่ขยับจากอันดับ 41 ไปเป็น 26 และมาเลเซียที่ขยับจากอันดับ 35 ขึ้นไปอยู่ใอันดับที่ 28 ในห้วงเวลาเดียวกัน
ศูนย์วิจัยชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งให้เศรษฐกิจจีนสามารถนำหน้าประเทศอื่นได้หลายช่วงตัวเป็นเพราะรูปแบบและทักษะการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพเหนือประเทศคู่แข่ง ขณะที่มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นในช่วงแรกช่วงลดภาระทางเศรษฐกิจ ประเทศอื่นๆ ที่ต้องกลับมาล็อกดาวน์กันใหม่จนนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอยที่ฟื้นตัวยาก จีนจึงได้เปรียบประเทศในฝั่งตะวันตกอยู่มาก
ระหว่าง 2564-2568 ศูนย์วิจัยมองว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตที่ประมาณ 5.7% ต่อปี ขณะที่ช่วงที่เหลือจนถึงปี 2573 จีดีพีเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.5% ต่อปี
ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ จะเห็นจีดีพีกลับกลับมาโตแค่ราว 1.9% ในปี 2565 - 2567 และลดลงมาเหลือ 1.6% หลังจากนั้น
เมื่อเดือนที่ผ่านมา 'สีจิ้นผิง' ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนได้แถลงว่า มีความเป็นไปได้ 100% ที่เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดโตขึ้นถึง 2 เท่า ภายในปี 2578 จากแผนดำเนินการของรัฐบาลที่ต้องการบรรลุเป้าหมายความสำเร็จทางเศรษฐกิจแบบ 'สังคมนิยมสมัยใหม่' (modern socialism) ภายในเวลา 15 ปีต่อจากนี้