ไม่พบผลการค้นหา
‘ก้าวไกล’ เรียกร้อง หยุดถอนประกัน สั่งขัง ‘นักกิจกรรมการเมือง’ ด้าน ‘รังสิมันต์ โรม’ หยัน ‘ประยุทธ์’ ไม่กล้า พักงาน- ตั้งกรรมการสอบ ‘ประวิตร’ ปมมีชื่อเอี่ยวค้ามนุษย์โรฮิญจา

รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงต่อข่าวต่อสื่อมวลชนประเด็นการค้ามนุษย์โรฮิญจา จากกรณีที่สารคดีของข่าวอัล จาซีรา เปิดบทสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่ต้องขอลี้ภัยจากประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ทำคดีค้ามนุษย์จนมีความคืบหน้า แต่กลับถูกคำสั่งย้ายไปจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นพื้นที่อิทธิพลของขบวนการค้ามนุษย์ โดยหลังจากที่สารคดีดังกล่าวเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ทำให้เห็นความชัดเจนมากขึ้นว่า มีบุคคลใดบ้างที่เกี่ยวข้องหรือช่วยเหลือผู้ต้องหาขบวนการค้ามนุษย์ 

“เราไม่สามารถปกป้องตำรวจดีที่ทำเพื่อประเทศชาติได้ ทำให้ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ต้องไปใช้ชีวิตด้วยการเป็นเเรงงานทำเบาะรถยนต์ที่ออสเตรเลียในช่วงเวลาที่ใกล้จะเกษียณเเล้ว ผมไม่คิดว่านี่คือสิ่งผลตอบแทนคุณงามความดีที่ คุณปวีณ ควรจะได้รับ”

รังสิมันต์ ยังกล่าวต่อว่า หากเป็นแบบนี้จะมีรัฐบาลนี้ไปทำไม เมื่อท้ายที่สุดผู้ลี้ภัยยังคงต้องดูแลตัวเอง โดยรัฐบาลทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดว่าให้ พล.ต.ต.ปวีณ กลับมา แต่ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยใดๆให้ หลังจากนี้ ประเทศต่างๆจะจับตามองประเทศไทย ว่าทำไมคนแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ได้เป็นอย่างดีถึงต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งคำตอบของรัฐบาลจนถึงวันนี้เป็นเวลา 6 วันแล้ว ยังคงน่าผิดหวัง เพราะไม่สามารถชี้เเจงข้อเท็จจริงใดๆให้สังคมกระจ่างได้เลย 

รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนมีหลักฐานสำคัญ ในวันประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีวาระพิจารณาปรับย้ายนายตำรวจ มีการโยกย้าย พล.ต.ต. ปวีณ ไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมด้วยตัวเอง จากบันทึกการประชุมนั้น พล.อ. ประวิตร ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทำอะไร ทำไมจึงย้าย พล.ต.ต. ปวีณ ไปที่ที่มีอันตรายถึงชีวิต แม้จะมีการอ้างว่าเจ้าตัวไม่พอใจเพราะไม่ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ถามว่าต้องถึงขั้นลี้ภัยเลยหรือไม่

“เหตุใด พล.อ. ประวิตร ไม่ตอบคำถามว่า ทำไมจึงสั่งย้าย พล.ต.ต. ปวีณ ไปพื้นที่อิทธิพลค้ามนุษย์เพื่อตอบแทนผลงาน ส่วนกองทัพเรือก็เงียบมาก เสียงดังเฉพาะตอนซื้อเรือดำน้ำเท่านั้น จากสารคดีของ อัล จาซีรา พล.ต.ต. ปวีณ พูดชัดเจนที่สุดว่าใครเกี่ยวข้องอะไรและอย่างไรบ้าง ผมคาดหวังมากว่า รัฐบาลจะตอบคำถามนี้ให้ดี เพราะหากตอบไม่ดี เราก็ไม่รู้ว่าการจัดอันดับสิทธิมนุษยชนและลำดับการค้ามนุษย์ของไทยจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป” 

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ต้องตอบคำถามว่าได้จัดการคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ไปแล้วอย่างไรบ้าง และการที่ พล.ต.ต. ปวีณ ซึ่งเป็นตำรวจที่มีความสามารถต้องตัดสินใจลี้ภัยแสดงว่ามีเหตุผลอยู่ ต้องชี้แจงสิ่งเหล่านี้ให้ได้ 

“การที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ไม่จัดการกับขบวนการค้ามนุษย์ ทำให้ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประวิตร เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น การกลับมาของ พล.ต.ต.ปวีณ ก็จะเป็นไปได้ยากที่สุด อย่างไรก็ตาม ขอเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งกรรมการสอบ พล.อ.ประวิตร กล้าหรือไม่ที่จะสอบพี่ชายตัวเอง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันเป็นระบบ จึงควรพักงานพลเอกประวิตร ถ้า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่กล้า ก็จะแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ ขอให้ทำเพื่อประเทศชาติ เพราะผมเป็นห่วงว่าในอนาคตต่างชาติจะมีการแทรกแซงเรา รัฐบาลจึงควรทำให้มั่นใจว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อให้ลำดับการค้ามนุษย์ดีขึ้น”

นอกจากนี้ รังสิมันต์ ยังได้แถลงถึงท่าทีของพรรคก้าวไกล ต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการใช้บังคับใช้กฎหมายจับกุมคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองที่มีความเห็นต่างจากรัฐ รวมถึงกระบวนการยุติธรรมที่มีการถอนประกันหรือไม่ให้ประกัน จนเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวให้กับผู้เห็นต่างทางการเมือง

“ช่วงที่ผ่านมา สังเกตได้ว่ามีการใช้กระบวนการยุติธรรมการถอนประกันและไม่ให้ประกันตัวผู้เห็นต่างทางการเมือง อาทิ กรณีของ นายเวหา แสนชนชนะศึก ,น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และนายเอกชัย หงส์กังวาน ทั้งที่คนเหล่านี้ไม่ได้ฆาตกรรมใคร หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด เมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ที่เป็นข่าวใหญ่หลายกรณีกลับได้รับการประกันตัว การที่คนเหล่านี้ถูกถอนประกันและไม่ได้รับการประกันตัว เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้นักกิจกรรม นอกจากนี้ยังมีความพยายามไปค้นรถและเข้าควบคุมตัว โดยไม่มีหมายค้นหรือหมายจับ มีการใช้เจ้าหน้าที่เข้าไปขัดขวางการทำกิจกรรมต่างๆ จนทำให้สังคมน่ากลัวขึ้นทุกที

“นี่คือผลงานของพลเอกประยุทธ์เเละรัฐบาล ที่ต้องการทำให้เกิดความหวาดกลัวในทุกพื้นที่ ความหวาดกลัวนี้ไม่ได้ทำให้สังคมไทยไปข้างหน้า ผมและพรรคก้าวไกลจึงอยากเรียกร้องมโนธรรมสำนึกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หยุดสร้างความหวาดกลัวแบบนี้ได้แล้ว เพราะจะทำให้ระบบยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ” รังสิมันต์ ระบุ