​สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการบริโภคเนื้อไก่ค่อนข้างมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันมีการนำเข้าเนื้อไก่จาก 'มาเลเซีย' เป็นอัตราส่วนมากถึง 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งสถานการณ์การสั่งห้ามส่งออกไก่ของมาเลเซียที่มีผลวันที่ 1 มิ.ค.กำลังสร้างความกังวลให้สิงคโปร์อย่างหนัก 

ปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะเลวร้ายระดับใด เพราะในบางซุปเปอร์มาร์เก็ตในสิงคโปร์ยังคงมีเนื้อไก่วางขายตามปกติ ขณะที่บางพื้นที่ไม่มีเนื้อไก่เหลือวางขายแล้ว และนั่นก็ทำให้ประชาชนเริ่มมีความรู้สึกกังวลจนเริ่มมีการซื้อของเพื่อกักตุน

Bloomberg รายงานว่า ขณะที่ภาคเอกชนกำลังเร่งหาเนื้อไก่มาสำรองไว้ในสต็อก ภาครัฐบาลเองก็กำลังเร่งมือหาทางแก้ไขเพื่อป้องกัน 'วิกฤตความมั่นคงทางอาหาร' โดยมีการยืนยันกับประชาชนว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องตื่นตระหนกใดๆ และยังมีสินค้าในคลังมากพอ

"ครั้งนี้ปัญหาเกิดกับเนื้อไก่ ครั้งหน้าอาจเป็นสินค้าประเภทอื่น" ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าว พร้อมชี้ว่า "เราต้องพร้อมรับมือกับปัญหานี้ สถานการณ์โลกยังไม่นิ่ง เงินเฟ้อก็เป็นปัญหาอย่างมาก ขณะที่ค่าครองชีพก็เป็นปัญหาเช่นกัน ปัญหาอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้อีกมากไปกว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า ซึ่งเรากำลังเผชิญมันอยู่"

ด้านมาเลเซียก็กำลังเผชิญปัญหาในหาลายมิติ หนึ่งในนั้นคือเรื่องราคาอาหารและปุ๋ยพืชที่พุ่งสูงอย่างน่าตกใจอันเป็นผลมาจากการรุนรานยูเครนโดยรัสเซีย Bloomberg ชี้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ในมาเลเซียกำลังถูกบีบคั้นอย่างหนักจากต้นทุนที่สูงจนหลายคนต้องลดปริมาณการผลิตลง แน่นอนว่าไก่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ส่งออกอันดับต้นๆ แต่หากรัฐบาลมาเลเซียใช้กฎห้ามส่งออกกับสินค้าอื่น เช่น ปลา และผักสด สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้มาก