ไม่พบผลการค้นหา
'ปิยบุตร' ติงนายกฯ ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสายเกินไป จี้ลาออก พร้อมหาทางพูดคุยสร้างทางออกร่วมกันปมสถาบันฯ

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยคนละก้าว และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่า การตอบสนองของนายกรัฐมนตรีล่าช้าเกินไป และไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ซึ่งจากรัฐบาลจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องทั้งหมด และไม่ใช้วิธีการพูดคุย แล้วกลับใช้กฎหมายเข้าจับกุมแกนนำนักศึกษา ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์คุมไม่อยู่ มากขึ้น ดังนั้นการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตอนนี้ถือว่าสายเกินไป และไม่ควรประกาศตั้งแต่แรก

พร้อมมองว่า สถานการณ์ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความขอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองสิ่งที่ควรทำ คือ การลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐสภาสรรหานายกรัฐมนตรี โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ที่จะมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะต้องไม่ใช่ร่างทรงของพล.อ.ประยุทธ์ และต้องไม่สืบทอดอำนาจ แต่ต้องมาเปลี่ยนผ่านจากระบอบประยุทธ์ ไปสู่ระบอบปกติให้ได้

ส่วนการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อหาทางออกสถานการณ์การเมืองในวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ จะต้องดูว่าสมาชิกมีความจริงใจที่จะทางออกจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการนำข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของคณะราษฎรมาพูดคุยในสภาฯ เพื่อถกถึงแก่นของปัญหาที่แท้จริง แต่หากเปิดสภาแล้วปล่อยให้ ส.ส.รัฐบาล และ ส.ว.มาใช้เวทีของสภาโจมตีกล่าวหาว่าคนที่ออกมาชุมนุมเป็นพวกล้มล้างสถาบันฯ ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พร้อมขอว่าอย่าทำแบบที่ผ่านมาที่เปิดสภาฯ มาแล้วไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยื้อเวลาเพื่อช่วยเหลือพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อ ซึ่งหากยังทำแบบนี้อีกการแก้ไข ปัญหาภายใต้กลไกของรัฐสภา ก็จะหมดความน่าเชื่อถือ ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาที่แท้จริงก็ควรจะลาออกในสัปดาห์หน้าเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น 

จากนั้นตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามรายชื่อแคนดิเดตที่แต่ละพรรคเสนอไว้แล้ว รวมถึงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลงมติในวาระที่ 1 และนำข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันเข้ามาพูดคุยในสภาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ประเด็นเรื่องสถาบันฯ กลายเป็นส่วนหนึ่งความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว

ส่วนการที่เริ่มมีกลุ่มคนออกมาปกป้องสถาบันฯ มองว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถาบันจริงๆ คือจะต้องพูดคุยหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่การห้ามพูดถึงหรือปราบปรามจับกุมผู้ที่เห็นต่าง แต่ควรจะต้องปรับทัศนคติ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 21 เพื่อหาจุดลงตัวที่เหมาะสม และจากเหตุการณ์ปะทะ 2 ฝ่ายที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อวานนี้ ส่วนตัวไม่เห็นว่าจะเป็นผลดีสถาบันฯ แต่กลับส่งผลให้คนรุ่นมีทัศนคติแง่ลบต่อสถาบันมากขึ้น

และยืนยันว่าข้อเสนอที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครพูดว่าประเทศไทยจะต้องไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงแต่ ต้องการให้เกิดการปฏิรูปเท่านั้น


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :