ไม่พบผลการค้นหา
'ปิยบุตร' อัด 'ถาวร' ใช้มุกเก่าโจมตีอยู่เบื้องหลังม็อบ-มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน ชี้สะท้อน 3 ข้อ ดูถูกเยาวชน - ไม่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง - ใช้การเมืองเก่าโหนสถาบันอ้างความจงรักภักดี

ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวหาว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รวมถึงปิยบุตร อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน ในนาม "คณะราษฎร" รวมถึงกล่าวหาว่าเป็นผู้มีแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า เท่าที่ฟังการชี้แจงและให้ข้อมูลของ ถาวร ตนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นข้อกล่าวหาที่เราเจอมาตั้งแค่ครั้งก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ โดยไปค้นเอาหลักฐานที่เป็นเอกสารงานวิชาการของตน และบทสัมภาษณ์ของธนาธร นำมาโยงมั่วไปหมด ซึ่งกรณีแบบนี้ก็เคยมีผู้โยงมาก่อนแล้วว นั่นก็คือ ณฐพร โตประยูร ที่ฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วที่เรียกว่าคดีอิลลูมินาติ แต่ที่สุดศาลก็ยกฟ้องคดีนี้ไป

ปิยบุตร กล่าวว่า การแถลงข่าวของ ถาวรในครั้งนี้ เป็นการใส่ร้าย เข้าข่ายหมิ่นประมาทอย่างชัดเจน แต่ส่วนตัว ที่ผ่านมาก็อดทนในการใช้กฎหมายอย่างนี้ฟ้องร้องกัน เพราะเชื่อในเรื่องเสรีภาพการแสดงออก และเชื่อว่าถ้าเป็นความเท็จประชาชนก็จะสามารถตัดสินได้เองว่าจะเชื่อใคร

อย่างไรก็ตาม การพูดของถาวรในช่วงนี้ คือพูดในช่วงที่มีการชุมนุมของคณะราษฎร พูดในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ก็อดคิดไม่ได้ว่าวิธีคิดแบบนี้สะท้อนอะไรบ้าง ซึ่งน่าจะมีอยู่ 3 ข้อ คือ 1. สะท้อนถึงความเป็นกลุ่มคนที่ไม่ทันยุคสมัย ดูถูกเยาวชนอนาคตของชาติ มองด้วยแว่นสายตายุคเก่าอย่างเช่นในยุคสงครามเย็นว่าต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง 

2. สะท้อนความหวาดกลัว ไม่พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง กับโลกใบใหม่ และไม่รู้จะจัดการอย่างไร จึงใช้วิธีการหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ให้สบายใจ 

และ 3.สะท้อนถึงการทำลายกันแบบเก่าๆ ใช้มุกเก่าๆ โดยดึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือโจมตีอีกฝั่ง ทั้งที่ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมนั้นคือ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่คู่ประชาธิปไตย


ไล่ไปส่องกระจกดูตัวเอง ต้นเหตุการออกมาชุมนุม

"ถึงตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ต้องยอมรับว่าข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ถูกนำขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้ว ทางเดียวที่จะหาทางออกได้ ก็คือการรับฟัง พูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ การปราบปรามไม่ทำให้อะไรดีขึ้น การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทำได้แต่เพียงปลอบใจตัวเองว่าจัดการได้ นี่คือการเมืองเก่าที่อ้างเรื่องความจงรักภักดี ที่ไม่รู้จะคิดนโยบายมาใช้แข่งขันกันอย่างไร และนอกจากนี้แทนที่จะไปควานหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการชุมนุม อยากให้คนที่ทำรัฐประหาร รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ และผู้ที่สนับสนุนทั้งหลาย ได้หยิบกระจกขึ้นมาส่องดูตัวเองแล้วคิดว่าคงจะเจอสาเหตุที่ทำให้คนออกมาชุมนุมได้" นายปิยบุตร กล่าว


ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าใครเป็น กก.ปรองดอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ และมีการเสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ปิยบุตรเข้าร่วมเป็นกรรมการชุดนี้ด้วย โดย ปิยบุตร กล่าวว่า ที่ผ่านมามีคณะกรรมการปรองดองเกิดขึ้นมาแล้วหลายชุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน สำหรับตนเองนั้น หลักคือไม่ใช่ว่าใครที่ไปนั่งเป็นกรรมการบ้าง แต่ต้องเป็นเรื่องของเนื้อหา และขอบเขตของการทำงานนี้ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกและเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่อย่างสันติ 2.การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3.ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้าจงใจละเลยข้อใดไป คณะกรรมการชุดนี้ก็จะเหมือนชุดก่อนๆ คือมีแต่รายงาน ไม่ได้ถูกนำไปใช้ ดังนั้น ไม่สำคัญว่าตน หรือธนาธรจะเข้าไปอยู่ในกรรมการหรือไม่ แต่อยู่ที่มีการพูดคุยข้อเรียกร้องนี้หรือไม่

"ผมพูดหลายครั้ง ว่าไม่จำเป็นที่ต้องเป็นผมเข้าไปร่วม เพราะเนื้อหาที่ต้องคุยกันทั้ง 3 เรื่องนั้น มันอยู่ในที่สาธารณะอยู่แล้ว อยู่ที่กรรมการตั้งใจจะทำเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งพอได้มาเห็นโครงสร้างของกรรมการแล้ว ก็พบแต่กลุ่มคนที่โจมตีผู้ชุมนุม จะเอาคนเหล่านี้หรือมาเป็นคนสร้างความปรองดอง เพราะไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นส.ส.ฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายที่มีชุดความคิดเดียวกันเชื่อมโยงมาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. ดังนั้น จึงกลัวว่าจะมาเป็นพวกที่ตีกรอบว่าเรื่องไหนพูดได้ เรื่องไหนพูดไม่ได้ ซึ่งคิดว่าจะไม่ได้สร้างบรรยากาศในการพูดคุยเลย" ปิยบุตร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :