พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่ายน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่วงคืนวันที่ 8 ก.พ. บังคับใช้กฎอัยการศึก และมาตรการเคอร์ฟิวช่วงเวลากลางคืน พร้อมห้ามชุมนุม 5 คน ในพื้นที่เมืองใหญ่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ หลังจากที่ชาวเมียนมาเคลื่อนไหวลงถนนเพื่อประท้วงรัฐประหารต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 3
ท่าทีของหัวหน้าคณะรัฐประหารมีขึ้น หลังจากเมื่อวานนี้เกิดการชุมนุมต้านรัฐประหารอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเนปิดอว์ ซึ่งตำรวจได้มีการใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในเมืองหลวงบริเวณใกล้กับอาคารรัฐสภาเมื่อวานนี้ นับเป็นการยกระดับมาตรการควบคุมฝูงชนครั้งแรกของทางการนับตั้งแต่ชาวเมียนมาเดินขบวนประท้วง
ผบ.สส. เมียนมา ระบุตอนหนึ่งของคำแถลงว่า เหตุที่กองทัพต้องยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีที่ชนะการเลือกตั้งเนื่องจากพบการทุจริตในการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา และย้ำวากองทัพจะจัดการเลือกตั้งหลังสิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีกำหนด 1 ปี
แต่อย่างไรก็ดี มินอ่องหล่ายน์ ไม่ได้ระบุถึงกรอบเวลาอย่างชัดเจนในการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงนับตั้งแต่ยึดอำนาจด้วยข้ออ้างทุจริตเลือกตั้ง แต่กองทัพยังไม่เคยเปิดเผยหลักฐานของการทุจริตตามคำกล่าวอ้าง
ท่าทีของ ผบ.สส. เมียนมา เป็นสัญญาณสะท้อนว่ากองทัพอาจยกระดับมาตรการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่รุนแรงขึ้น สอดคล้องกับเมื่อ 8 ก.พ. สถานีวิทยุและโทรทัศน์เมียนมา (MRTV) ได้รายงานคำประกาศของคณะรัฐประหารที่เตือนว่า การต่อต้านการยึดอำนาจนั้นมีความผิดตามกฎหมาย และอาจมีการยกระดับบางมาตรการเพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม
"ต้องดำเนินการตามกฎหมายโดยมีขึ้นตอนที่มีประสิทธิผลต่อความผิดที่รบกวน และบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน และหลักนิติธรรม" คำประกาศของคณะรัฐประหารที่ระบุผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ