พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พร้อมด้วย พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฯลฯ เดินทางตรวจราชการที่จังหวัดบึงกาฬ เริ่มต้นจากวัดโพธาราม ซึ่งถือเป็นวัดประจำจังหวัดที่ชาวบ้านศรัทธา จุดบั้งไฟน้อย 9 บั้งเพื่อสักการะหลวงพ่อพระใหญ่ ก่อนเป็นประธานเปิดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน ในพื้นที่ห่างไกล
โดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐและเอกชน ร่วมดำเนินโครงการ เพื่ออุทิศถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยในพื้นที่ห่างไกล 878 อำเภอ ทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 11 - 24 ธ.ค. 2561 และช่วงที่ 2 7 - 20 ม.ค. 2562 ซึ่งวันนี้จะดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศใน 41 จังหวัด
อย่างไรก็ตาม การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด มีการตรวจสอบเพื่อไม่ให้บุคคลที่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีต หรือ กลุ่มที่เคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมเรียกร้องด้านต่างๆ รวมทั้งแกนนำ นปช. ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เข้ามาภายในบริเวณงาน เนื่องจากเป็นการลงพื้นที่ต่างจังหวัดครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังประกาศปลดล็อกทางการเมือง ซึ่งรวมถึงยกเลิกการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน และมีการดึงแผ่นป้ายดังกล่าวออกเมื่อนายกรัฐมนตรีมาถึงสักพัก
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะประชาชนในพื้นที่ พร้อมชูมือ สัญลักษณ์ ไอเลิฟยู ตลอดทาง โดยกล่าวเอาใจชาวบึงกาฬ บอก อากาศดี น่าอยู่ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขออย่าเชื่อคำบิดเบือนของคนอื่น ที่รัฐบาลมาดูแลเพิ่มงบประมาณ ไม่ใช่เพื่อให้มารักตน แต่เป็นหน้าที่ ภาระของรัฐบาลที่ต้องดูแลโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้สูงอายุ เรื่องนี้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ใครที่ไปโกง ไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ได้บัตรมา ก็ต้องยึดบัตร ยึดเงินคืน เพราะมีความผิดทางอาญา วันหน้ารัฐบาลจะดูแลให้มากขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. เมื่อปลดล็อกให้ไปแล้ว ประชาชนต้องอย่ายอมให้ใครนำพาไปสู่ความวุ่นวายสับสนอลหม่าน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้อีก เพราะประเทศไทยกำลังจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า หากเกิดขึ้นอีกก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ขอให้ประชาชนเลือกคนจากนโยบายที่ดี
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงต่อชาวบึงกาฬ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราอย่างอันดับหนึ่งของภาคอีสาน กรณีที่ราคายางพาราตกต่ำนั้นเพราะมีการปลูกมากและมีสต๊อกของเป็นจำนวนมาก อีกทั้งกลไกราคาต้องอิงจากราคาตลาดโลกไม่สามารถกำหนดได้เองดังนั้นแนวทางที่รัฐบาลกำลังแก้ไขคือ มาตรการช่วยเหลือระยะแรก ให้เงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ส่วนระยะต่อไป ก็หวังให้ เกษตรกรปรับตัวเปลี่ยนแปลงพืชปลูกให้เหมาะสมกับกลไกตลาด สอบถามถึงความเป็นไปได้ในการลดพื้นที่ปลูกยางพารา หันมาทำเกษตรผสมผสานปลูกพืชหลายชนิดทดแทน หาสมดุลของตลาด ไม่ปลูกพืชชนิดใดมากจนเกินไป ควบคุมคุณภาพ ควบคุมปริมาณ และลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการขนส่งให้ต่อเนื่องกันเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
นายกรัฐมนตรียังจัดรายการวิทยุกระจายเสียง 909 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา พร้อมยืนยันไม่ได้เอาเงินไปแจกแต่รัฐบาลมีหลายมาตรการออกมาบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งได้ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการให้เงินก็เป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น นายกรัฐมนตรี ยังทิ้งท้ายด้วยว่า ขอให้ประชาชนมีหลักคิดต่อการเลือกตั้ง อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์อย่าใส่ใจ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และเมื่อวานนี้ก็ได้ปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆแล้ว พร้อมขอให้ทุกคนรักษาความสงบเรียบร้อย และฝากดูแลพระราชพิธีสำคัญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ด้วย ส่วนจะเป็นช่วงเวลาใดก็ต้องรอให้มีการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางมาที่สวนสาธารณะหนองบึงกาฬและบึงสวรรค์ เพื่อเยี่ยมชมบูทผลงานการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล 6 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการถนนยางพาราและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา 2.เกษตรแปลงใหญ่ 3.ข้าวครบวงจร 4.ผลิตภัณฑ์ OTOP 5.การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หนองเลิง 6.โครงการคืนถังขยะ
โดยมีประชาชนและข้าราชการต้อนรับกว่า 5,000 คน นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายและพูดคุยกับประชาชน โดยมีเนื้อหาช่วงหนึ่งว่า วันนี้จะมารับฟังปัญหาของประชาชนเพื่อที่จะนำเข้าที่ประชุม ครม. พรุ่งนี้ (13 ธ.ค.) หากใครจะเสนออะไร มีตัวแทนของทุกฝ่ายมารับฟังหมด แต่ขออย่าไปตั้งแถวเสนอกันกลางถนน พอหลังจากปลดล็อกการเมืองแล้วก็มีหลายคนมาตั้งกลุ่มประท้วงกัน ใครที่ทำก็อย่าไปยอมรับเขา มันไม่ใช่กติกาและทำให้ประเทศเสียหาย ต้องยอมรับว่าปัจจุบันอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน บางคนก็ดีขึ้น บางคนก็แย่ลง ซึ่งเป็นผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง ต้องค่อยๆ ปรับค่อยๆ หากมีปัญหาให้เสนอเข้ามาที่หน่วยงานราชการแทน ค่อยปรับแก้กันไป อย่ากล่าวหาว่ารัฐบาลไม่ช่วย ถึงเวลาเอาเงินมาให้ ก็ใช้จ่ายหายไปเฉยๆ แท้จริงรัฐบาลพยายามให้เบ็ดแก่ประชาชน แต่ประชาชนยังไม่รู้จักตกปลา ก็ต้องสอนกันไปและระหว่างนี้รัฐบาลก็ต้องเติมปลาไปเรื่อยๆ อาจจะมีปลาเค็ม ปลาเล็กๆให้ไปพลางก่อน แต่ต้องรู้จักประหยัด อย่าเอาไปกินเหล้า ควรเอาไปซื้อข้าวเก็บไว้ในวันที่ไม่มี เงินก้อนนี้ใช้เพื่อประทังความเดือดร้อน ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ไม่ใช่ใช้เพื่อเสพสุข เงินที่รัฐบาลให้มีแค่เท่านี้ เพราะต้องเอาไปทำอย่างอื่นอีก เช่น การศึกษา, สาธารณสุข เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นนักการเมืองเต็มตัว จะบอกว่าตนไม่ใช่ก็ไม่ได้ เพราะบริหารประเทศอยู่ ถ้าเป็นนักการเมืองมีคนมาต้อนรับมากขนาดนี้คงจะดีใจตาย แต่ตนเป็นทุกข์ และยอมตายดีกว่า เพราะว่ามีแต่คนมาคาดหวังกับตนเองสูง เมื่อคาดหวังแล้วจะต้องทำตามความคาดหวังให้ได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน ทุกวันนี้ประชาชนต้องรักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ตัวเองไม่ค่อยได้พักผ่อนเพราะอ่านหนังสือ หาข้อมูล แก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ไม่ใช่เพื่อใคร ทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคะแนนเสียง ตนไม่ได้เลือกตั้ง ก็ไปดูเอาก็แล้วกัน นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันหน้าเป็นรัฐบาลไม่มี ม.44 จะแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างไร ถ้าประชาชนมีความคิดเห็นที่ตรงกัน ผลประโยชน์โดยอ้อมก็จะมาเอง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง การปลดล็อกทางการเมืองเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากปลดล็อกแล้วมีคนมาตั้งแถวเตรียมประท้วงต่อต้านรัฐบาล เพื่ออะไร จะให้คนเหล่านี้มาบริหารประเทศหรือ ต้องเอาอดีตมาเป็นบทเรียนให้กับคนในชาติ ทำยังไงไม่ให้คนไม่ดีและให้ร้ายประเทศมาบริหารประเทศหรือ? คนที่ด่ารัฐบาลทั้งในและต่างประเทศ ขออย่าให้เชื่อคำบิดเบือนของคนอื่น ที่ผ่านมาเก็บข้าวไว้ 4 ปี ขาดทุนเสียหายไปเท่าไหร่ ขอให้ประชาชนเลือกดีๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงท้ายว่า ที่ทุกวันนี้มีการประกวดมิสยูนิเวิร์สในประเทศไทย เพราะบ้านเมืองสงบ พร้อมย้ำการเมืองไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็นความสร้างสรรค์