สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า นายลวรรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่นักธุรกิจระบุเศรษฐกิจไทยติดกับดักมาเกือบ 20 ปี โดยช่วง 10 ปี ที่ผ่านมามีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดในประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันเกือบทั้งโลก ขอชี้แจงว่า ในการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมนั้น โดยทั่วไปมักจะพิจารณาจากทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สะท้อนได้จากอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ซึ่งจากการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจที่มีความครอบคลุมทุกมินินั้น นอกเหนือจากจะพิจารณาทิศททางการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว จำเป็นต้องนำเสถียรภาพเศรษฐกิจที่สะท้อนได้จากเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ มาพิจารณาควบคู่กันด้วย
ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา เป็นช่วงหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยสามารถเติยโตได้เฉลี่ยที่ร้อยละ 4.1 ต่อปี สะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับที่เหมาะสม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.0 ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการมากเกินไป
ทั้งนี้ในช่วง 2553-2540 ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออนู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.2 สะท้อนว่าแม้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตในอัตราสูง แต่ระดับราคาสินค้าและบริการมีการปรับตัวเพิ่มสูงมากเช่นกัน ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชน
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาสินค้าและบริการในช่วงดังกล่าวนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ทางด้านราคา เกิดการเก็งกำไรในสินค้าที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตามมา จนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2541 หดตัวอย่างรุนแรงที่ร้อยละ -7.6 สะท้อนให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจจะมีการเติบโตในอัตราสูง แต่ถือเป็นการเติบโตที่ไร้เสถียรภาพและอาจนำไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจในที่สุด
ทั้งนี้ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยเติบโตที่ร้อยละ 3.9 และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.2 ในปี 2561 (คาดการณ์ เดือน พ.ย. 2561) สอดคล้องกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับศักยภาพ ที่ประมาณร้อยละ 4.0 และเพื่อเป็นยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป
สำหรับการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นั้น พบว่าปัจจุบันขนาดทางเศรษฐกิจของไทยมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน โดยถ้าหากเปรียบเทียบรายได้ต่อหัวของประชาชน (GDP per Capita) จะพบว่าในปี 2560 GDP per Capita ของประเทศไทยอยู่ในระดับสูงที่ 6,883 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ GDP ต่อหัวของประเทศ เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อยู่ในระดับต่ำที่ 1,196 1,330 2,389 2,468 3,878 และ 2,989 เหรียญสหรัฐตามลำดับ
การออกมาชี้แจงของผู้อำนวยการเศรษฐกิจการคลัง เกิดภายหลังจากเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร พูดในหัวข้อ "ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศ" โดยมีสาระสำคัญคือ ประเทศไทยในทางเศรษฐกิจเราติดกับดักเกือบ 20 ปี ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เฉพาะอาเซียน ไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเกือบทั้งโลก ยกเว้นประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนั้น ประเทศที่เคยได้ชื่อว่าล้มเหลว อย่างพม่า, กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ เศรษฐกิจโตเกินปีละร้อยละ 6 จะโตล้ำหน้าไทยไปชั่วชีวิตของเยาวชนรุ่นนี้