กำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ถูกดัดแปลงเป็นสนามเด็กเล่นช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากสถาปนิกและศิลปินร่วมกันติดตั้ง 'กระดานหก' เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของคนสองฝั่งกำแพงกั้นแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่านโยบายกีดกันตามแนวชายแดนนั้นส่งผลต่อคนอีกฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีทางเลี่ยง
'โรนัลด์ ราเอล' สถาปนิกและศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ และ 'เวอร์จิเนีย ซาน ฟราเทลโล' รองศาสตราจารย์สาขาสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยซานโจเซในสหรัฐฯ พร้อมด้วย 'คอลเลกติโว โชเปเก' ศิลปินชาวเม็กซิกัน ร่วมกันติดตั้งกระดานหก หรือ 'ไม้กระดก' ที่กำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ที่เมืองซันแลนด์ มลรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ และเมืองอนาปรา มลรัฐซิวดัดฮัวเรซของเม็กซิโก และไม้กระดกนี้ได้รับความนิยมจากเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ใกล้กับแนวชายแดนดังกล่าว ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และเม็กซิโก
ราเอลให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์เอ็นพีอาร์ว่าแนวคิดเรื่องการติดตั้งไม้กระดกตามรั้วกั้นแนวชายแดนเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2009 แต่ยังไม่มีโอกาสพัฒนาต่อ จนกระทั่งสถานการณ์ทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และล่าสุดศาลสูงของสหรัฐฯ อนุมัติให้รัฐบาลใช้งบประมาณทางการทหารไปใช้สร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโกได้ ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ระบุว่านี่เป็นการยกระดับมาตรการกีดกันตามแนวชายแดน เพื่อสกัดผู้อพยพลี้ภัยจากประเทศแถบละตินอเมริกา ซึ่งมักจะใช้พรมแดนเม็กซิโกเป็นทางผ่านไปยังสหรัฐฯ
ทรัมป์เคยกล่าวว่า ผู้อพยพลี้ภัยเหล่านี้เป็นอาชญากรและ 'นักข่มขืน' แต่องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งยืนยันว่า ชาวละตินอเมริกันจำนวนมากเป็นผู้ที่ต้องได้รับความคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัย ขณะที่ราเอลและซานฟราเทลโลไม่ได้กล่าวต่อต้านนโยบายของทรัมป์ เพราะเขาให้เหตุผลว่า โครงการนี้ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่การติดตั้งไม้กระดกนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฝั่งหนึ่ง ย่อมส่งผลต่ออีกฝั่งหนึ่ง เช่นเดียวกับไม้กระดกที่ขึ้นอยู่กับผู้ที่อยู่ตรงปลายแต่ละด้าน
ราเอลได้โพสต์วิดีโอขณะเด็กๆ ในสหรัฐฯ และเม็กซิโกเล่นไม้กระดกร่วมกัน แม้จะมีกำแพงกั้น แต่ก็ยังสามารถส่งเสียงหัวเราะและสนุกด้วยกันได้ นอกจากนี้ มอริชิโอ มาร์ติเนซ นักแสดงชาวเม็กซิกัน ก็ได้นำวิดีโอดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อ ทำให้มีผู้เข้าไปชมวิดีโอดังกล่าวมากกว่า 3.2 ล้านครั้ง หลังโพสต์วิดีโอไปได้ราว 3 วัน และมีคนจำนวนมากแสดงความชื่นชมโครงการนี้ว่าเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองฝั่ง แม้ว่านโยบายที่รัฐบาลบังคับใช้จะเป็นคนละเรื่องกัน
แต่ผู้ใช้ทวิตเตอร์บางรายก็วิพากษ์วิจารณ์เหมือนกันว่า โครงการดังกล่าวมี 'ด้านมืด' ซ่อนอยู่ เพราะในขณะที่โครงการได้รับคำชื่นชมว่าเป็นการสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองด้าน แต่กลับไม่ยอมพูดถึงการบังคับใช้นโยบายกีดกันผู้อพยพลี้ภัยของทั้งสองรัฐบาล