สิงห์คอร์ปอเรชั่น ไม่ถอดใจธุรกิจชาเขียว หันมาจับมือกลุ่มมารุเซ็น จากญี่ปุ่น ผลิตชาเขียวเพื่อส่งออก ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 350 ล้านบาท
หลังจากกลุ่มสิงห์คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลภิรมย์ภักดี เคยผลิตและจำหน่ายชาเขียวโมชิ เมื่อปี 2548 และยุติการทำตลาดในปี 2550 หลังไม่ประสบความสำเร็จ ล่าสุด บริษัท บุญรอดฟาร์ม จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท มารุเซ็น ที เจแปน จำกัด จัดตั้งบริษัท มารุเซ็น ฟู้ด (ไทยแลนด์) ทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท ในสัดส่วนถือหุ้น 51:49 เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตชาเขียวภายใต้แบรนด์ 'มารุเซ็น' จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งลดต้นทุนการนำเข้าชาเขียวจากญี่ปุ่นเข้าไทย ที่มีภาษีสูงถึง 60-70%
นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารุเซ็นฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้ลงทุน140 ล้านบาท จัดตั้งโรงงานผลิตชาเขียวในประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงราย ถือเป็นแห่งแรกที่มีการขยายการผลิตออกนอกประเทศญี่ปุ่นของมารุเซ็น และนโยบายของญี่ปุ่นที่สนับสนุนและต้องการเป็นผู้ส่งออกชาเขียวไปทั่วโลก โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางการส่งออกในภูมิภาคนี้ อาทิ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงฮ่องกง ไต้หวัน และเยอรมนี โดยเริ่มส่งออกได้ในช่วงต้นปีหน้า มีกำลังการผลิตชาเขียว 140 ตันต่อปี
และเตรียมขยายกำลังผลิตเพิ่มอีก 50% ภายใต้งบลงทุน 70 ล้านบาท โดยเพิ่มไลน์การผลิตชาเขียวจาก 2 ไลน์ เป็น 3 ไลน์การผลิต คาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 โดยผลิตภัณฑ์จากโรงงาน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มชาเขียวใบ สูตรออริจินัล สูตรเข้มข้นพิเศษ และสูตรชาเขียวผสมข้าวกล้องทองญี่ปุ่นคั่ว กลุ่ม ชาเขียวชนิดซอง และกลุ่มชาเขียวผง หรือ มัทฉะ
โดยเบื้องต้นจะให้ความสำคัญกับการทำรูปแบบธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส ในสัดส่วน 70-80% ที่ถือว่ามีศักยภาพ และรูปแบบรีเทล 20-30% โดยตั้งเป้ายอดขาย ปีแรกไว้ที่ 350 ล้านบาท และคาดว่าใน 3 ปี จะมียอดขาย 1,000 ล้านบาท และคาดว่า สิ้นปี 2558 สัดส่วนการส่งออกและในประเทศจะอยู่ที่ 50:50 จากที่ปัจจุบันเน้นการส่งออก 70-80% สำหรับรายได้ของมารุเซ็นประเทศ ญี่ปุ่นอยู่ที่ 1,000 ล้านเยน คิดเป็นการ ส่งออก 10%
สำหรับตลาดชาโดยรวมในไทย แบ่งเป็นชาเขียวพร้อมดื่ม หรืออาร์ทีดี มูลค่า 14,500 ล้านบาท ขณะที่ตลาดชา ฟูดเซอร์วิส 5,000-10,000 ล้านบาท เติบโต 2 หลัก ตลาดชาซองมีมูลค่า 500 ล้านบาท เติบโตหลักเดียว โดยตลาดชาฟูดเซอร์วิสประเภทชาเขียวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีผู้นำเข้ามาทำตลาดประมาณ 10 กว่าราย มีระบบโควตาปีละประมาณ 600 กว่าตัน ในส่วนนี้เสียภาษีนำเข้าเพียง 20% ส่วนที่ไม่ใช่โควตานั้นเสียภาษีนำเข้า 60-70% โดย 'มารูเซ็น' เป็นชาเขียวญี่ปุ่นแบรนด์เดียวที่ผลิตในไทย