โจเซป บอร์เรลล์ หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวสรุปข้อเสนอ 4 ปีต่อการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชาติสหภาพยุโรปในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (20 ก.ค.) โดยหลังจากการประชุม บอร์เรลล์กล่าวว่าสหภาพยุโรปจะ "เปลี่ยนการสนับสนุนที่มีอยู่ เป็นข้อผูกพันระยะยาว" ต่อความปลอดภัยและความยืดหยุ่นของยูเครน
“เราเสนอให้มีการจัดตั้งแผนกเฉพาะสำหรับศูนย์สันติภาพยุโรป เพื่อจัดหาเงินมากถึง 5 พันล้านยูโร (ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท) ต่อปีเป็นเวลา 4 ปีข้างหน้า สำหรับความต้องการด้านกลาโหมของยูเครน” บอร์เรลล์กล่าวกับผู้สื่อข่าว “นี่คือการประเมินความต้องการและต้นทุน ของพันธกรณีด้านความมั่นคงระยะยาวของเราที่มีต่อยูเครน”
ร่างข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้น ท่ามกลางแรงผลักดันระหว่างประเทศที่จะให้การรับประกันความปลอดภัยระยะยาวแก่ยูเครน จากการรุกรานและโจมตีของรัสเซีย ตามที่สมาชิกกลุ่ม G7 ประกาศจากการประชุมนอกรอบของการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในกรุงวิลนีอุส เมืองหลวงของลิทัวเนีย
ในการประชุมสุดยอดครั้งนั้น ผู้นำ NATO กล่าวว่ายูเครนควรจะสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO กลุ่มพันธมิตรทางทหารได้ในอนาคตได้ แต่พวกเขากลับระงับข้อเสนอคำเชิญยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในทันที ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าหน้าที่ยูเครนไม่ได้คาดหวังเอาไว้ “อนาคตของยูเครนอยู่ที่ NATO” ผู้นำของ NATO ระบุในคำประกาศ แต่ไม่ได้ระบุลำดับเวลาสำหรับกระบวนการการเข้าเป็นสมาชิก NATO ของยูเครนแต่อย่างใด
คำแถลงดังกล่าวของ NATO ส่งผลให้ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ประสบกับความผิดหวังเกี่ยวกับการประกาศระยะเวลาที่ชัดเจน ของการเข้าเป็นสมาชิก NATO แม้เซเลนสกีจะยอมรับว่า ยูเครนจะยังไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในช่วงที่สงครามยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตกเน้นย้ำว่า พวกเขาจะมีข้อเสนอในการสนับสนุนยูเครนที่กว้างขึ้น ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวออกแบบมาเพื่อให้ยูเครนมีความได้เปรียบทางทหารเหนือกองกำลังรัสเซีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหภาพยุโรป ได้แสดงแผนงบช่วยเหลือในสภาการต่างประเทศในวันพฤหัสบดี (20 ก.ค.) แต่การอภิปรายที่มีรายละเอียดมากขึ้นจะมีขึ้นในวันที่ 31 ส.ค. ในการประชุมของกลุ่ม ณ เมืองโทเลโดของสเปน อย่างไรก็ดี ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศ โดยเฉพาะฮังการี อาจคัดค้านข้อเสนอดังกล่าวนี้ และคาดกันว่าจะไม่มีการอนุมัติทางการเมืองในขั้นสุดท้าย จนกว่าผู้นำยุโรปจะพบกันในการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปช่วงเดือน ต.ค. หรือแม้กระทั่งยาวไปถึงเดือน ธ.ค.
ที่มา: