เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่สมาคม อบต.แห่งประเทศไทย เข้าพบพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อติดตามความคืบหน้าการขอปรับขึ้นค่าตอบแทนของ อบต.ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเตรียมอนุมัติเห็นชอบ จะเป็นการหาเสียงหรือไม่ว่า ขอแสดงความยินดีกับท้องถิ่นที่มีโอกาสได้รับการปรับขึ้นค่าตอบแทน ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ต้องการปิดกั้นหรือขวางกั้นในสิ่งที่ท้องถิ่นพึงมี หรือพึงได้ เรายินดีส่งเสริม เพราะพรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายกระจายรายได้ กระจายงบประมาณไปยังท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดข้อเสนอการขอปรับขึ้นค่าตอบแทนดังกล่าวที่ถูกเรียกร้องมานานหลายปี ต้องรีบอนุมัติในนามของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีระเบียบรองรับอยู่แล้ว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ขานรับ แต่จะเกี่ยวเนื่องกับการหาเสียงหรือการเมืองหรือไม่
นพ.ชลน่าน กล่าวว่าการใช้อำนาจหน้าที่ในการปฎิบัติหน้าที่ราชการในช่วงที่มีกฎหมายประกาศชัดเจน 180 วันก่อนหมดวาระของอายุสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในช่วงนี้จะเหมือนกับช่วงเวลาของการมี พ.ร.ฎ.การเลือกตั้ง มีข้อที่พึงระวังในการหาเสียงเลือกตั้ง หมายความว่าแม้หาเสียงในช่วงเวลานี้ได้ แต่มีข้อห้าม เช่น ห้ามให้ ห้ามเสนอให้ ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐ ดำเนินการเข้าข่ายหาเสียงเลือกตั้ง รวมไปถึงห้ามใช้เวลา ห้ามใช้เครื่องมือ ห้ามใช้อุปกรณ์หรือตำแหน่งหน้าที่ หรืองบประมาณ ซึ่งต้องดูว่าการกระทำดังกล่าวเอื้อต่อการได้มาซึ่งคะแนนความนิยมหรือไม่
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าหากมีการปรับขึ้นค่าตอบแทนของ อบต.ในรัฐบาลนี้ จะใช้เม็ดเงินงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเองในหมวดหมู่ค่าจ้าง ค่าตอบแทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละระดับเอง ไม่ใช่เม็ดเงินของรัฐบาลที่อุดหนุนให้ โดยต้องไปดูว่าแม้จะมีระเบียบรองรับ แต่ท้องถิ่นสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะงบประมาณปี 2566 ที่สภาผู้แทนราษฏรอนุมัติผ่านแล้ว มีการระบุเม็ดเงินชัดเจน ท้องถิ่นแต่ละแห่งได้รับงบประมาณไปเท่าไหร่ งบประมาณมาจากส่วนไหน ซึ่งมีการระบุชัดของแหล่งที่มาของเม็ดเงินนั้น การปรับขึ้นค่าตอบแทนของ อบต.ในอัตราดังกล่าวต้องไปดูศักยภาพในการจ่ายและรายละเอียดของแต่ละท้องถิ่นตามข้อเท็จจริง รวมทั้งระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่าแต่หากจะมีบุคคลไปร้องให้ตรวจสอบ จะเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่รัฐของเจ้าหน้าที่รัฐว่าทำโดยชอบหรือไม่ ตนจึงฝากไปถึงผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่มีฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง นายกรัฐมนตรีเองก็มีฐานะเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง การกระทำอะไรที่เป็นการใช้อำนาจและหน้าที่ของตัวเอง แม้จะไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกระทำให้ ล้วนไม่เหมาะสม เช่น ป้ายใหญ่ๆ ที่มีรูปของหัวหน้าพรรคการเมือง รูปของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองปรากฏอยู่ แล้วอ้างว่าเป็นนโยบาย มีการขึ้นป้ายหัวหน้าพรรคการเมืองเอง อาจจะไม่สามารถถูกกล่าวหาได้ว่าเขาได้กระทำการ แต่ส่วนราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ต้องไปดูข้อกฎหมายว่าการกระทำลักษณะนี้เหมาะสมหรือไม่ เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงต่อเจตนาให้สำหรับใครบางคน หรือพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ มีการใช้งบประมาณของรัฐที่มีลักษณะบ่งชี้ว่า มีส่วนได้เสียหรือได้มาซึ่งคะแนนนิยมหรือไม่ หากทำได้อาจเข้าข่ายการใช้หน้าที่ และอำนาจหน้าที่มิชอบได้