วันที่ 11 ก.ค. แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณี ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปีตามมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะเหตุว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธาริตไม่พยายามแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่มีอำนาจเต็มในห้วงเวลาที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2554 -2557 โดยย่อมได้รับความคุ้มครองและสนับสนุนให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้เกิดการสูญเสีย
ทว่า ธาริต กลับใช้อำนาจโดยมิชอบไปฟ้องผิดศาลบ้าง แถลงข่าวพาดพิงบิดเบือนให้ร้ายบ้าง โดยเฉพาะประเด็นที่บอกว่ามีนายทหารมาข่มขู่ จนเกิดการรัฐประหารในปี 2557 เกิดหลังจากการสลายการชุมนุมถึง 4 ปี โดยพรรคเพื่อไทยในฐานะรัฐบาลในขณะนั้นได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อล้างผิดให้คนฆ่า คนเผา รวมถึงคนโกง คนทุจริต ถือเป็นการซ้ำเติมกระบวนการค้นหาความจริงก่อให้เกิดความเสียหายต่อความรู้สึกของผู้ที่ตั้งตารอคอยความยุติธรรม
"กลับกลายเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมาต่อต้านการออกกฎหมายดังกล่าว ทั้งที่ถ้ากฎหมายผ่านก็จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่ทั้งสองคนไม่เคยเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมให้กับตนเองไม่เคยปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม ต่อสู้คดีจากข้อกล่าวหาและยืนบนหลักการสำคัญในการพิสูจน์ความจริงจนสิ้นกระแสความแล้วจากกระบวนการยุติธรรม จากคณะกรรมการ ป.ป.ช."
การพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมนั้น ทั้ง 3 ศาลและ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจโดยตรง โดยผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับฟังเป็นที่ยุติว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผล 'อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553'
และศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีเลขที่ 1699/2560 ว่า 'การกระทำของ อภิสิทธิ์ และ สุเทพ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง' ดังนั้นจึงขอให้พี่น้องประชาชนที่ต้องการความยุติธรรมได้เข้าใจข้อเท็จจริงและดำเนินคดีกับคนที่ทำให้กระบวนการค้นหาความจริงดังกล่าวต้องสิ้นสุดลงในลักษณะนี้