วันที่ 15 ส.ค. 2565 วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย และว่าที่ผู้สมัครส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือว่า วันนี้น้ำท่วมกลับมาเป็นปัญหาหลักของประเทศอีกครั้งหนึ่ง แต่นอกจากประชาชนจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลน้อยมากแล้ว การสั่งการให้ความช่วยเหลือในระดับจังหวัดก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้เห็นว่าตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องปัญหาน้ำท่วมของประชาชนเลย ทั้งนี้ เมื่อมองไปที่การจัดสรรงบประมาณ ก็เป็นไปในทิศทางที่ตอบสนองต่อการเมืองแต่ไม่ได้จัดสรรเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริงให้กับประชาชนในพื้นที่ การแก้ไขปัญหาจึงไม่ตรงจุด ทั้งรัฐบาลยังไม่มีโครงการการแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบในระดับโครงสร้างของประเทศเพื่อรองรับทั้งสถานการณ์น้ำท่วม และน้ำแล้ง ขณะที่มีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณไปกว่าล้านล้านบาทแล้วแต่ประเทศไทยไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้เลย
“ปีนี้เกิดน้ำท่วมเนื่องจากพายุมู่หลาน ทำให้ ลุ่มน้ำปิงได้รับผลกระทบหนัก เกิดน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ ลุ่มน้ำน่านเกิดน้ำท่วมหนักที่จังหวัดน่าน และต่อจากนี้พายุเมียรี กำลังจะพัดกะหน่ำเข้ามาอีกจะทำให้ลุ่มน้ำยมได้รับผลกระทบโดยจะเริ่มที่จังหวัดแพร่ต่อด้วยสุโขทัย และจะไปหนักที่พิษณุโลกเช่นทุกปี ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการแก้ไขจริงจัง พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งการโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาฉุกเฉินให้กับประชาชนมิใช่ปล่อยให้ประชาชนถูกลอยแพเหมือนทุกปีที่ผ่านมา” นายวรวัจน์ กล่าว
ด้าน จักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนและคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่อยากเสนอรัฐบาลนี้คือ อยากให้ท่านกลับไปดูโครงการเมื่อปี 2555 พรรคเพื่อไทยเคยออก พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ โดยจะกำหนดได้เลยว่า น้ำจะไปอยู่ตรงไหน จะไปพักได้ที่ไหน เพราะเรามองว่า การใช้งบประมาณในแต่ละปีแต่ไม่เป็นระบบไม่สามารถจัดการระบบน้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาว่า บางปีน้ำมากก็เกิดน้ำท่วม บางปีน้ำน้อยก็เกิดภัยแล้ง เมื่อเกิดภัยแล้งก็ส่งผลกระทบต่อภาคอื่นๆไปด้วย เท่ากับว่า น้ำเยอะไปก็ไม่ดี น้ำน้อยไปก็ไม่ดี การออก พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อจัดการน้ำ ปีไหนน้ำเยอะก็เก็บ ปีไหนน้ำน้อยเราก็ใช้น้ำที่เราเก็บไว้ นี่เป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยมาตลอด
“หากรัฐบาลนี้ไม่สามารถคิดแผนการบริหารจัดการน้ำได้เองก็สามารถไปดูนโยบาย หรือข้อเสนอที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอไปได้ เพราะสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เราได้ทำแผนเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งแผนนี้ควรเสร็จตั้งแต่ปี 2560 แล้ว และถ้าเสร็จตามกำหนดเดิมวันนี้เราจะมีแผนบริหารจัดการน้ำที่เป็นระบบ เพราะหากมองความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละปีทั้งจากภัยน้ำท่วม และภัยแล้งแล้วมีมูลค่ามหาศาล เมื่อเทียบกับ 3.5 แสนล้านบาทที่ได้ระบบการบริหารจัดการน้ำที่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพราะหากจัดการได้อย่างไม่ครอบคลุมก็เกิดเหตุการณ์อย่างกรณีอุโมงค์ยักษ์ของกทม. ที่ดี และมีประโยชน์ แค่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บอกแล้วว่าน้ำมาไม่ถึงอุโมงค์เพราะการบริหารจัดการน้ำไม่ครบ หากบริหารจัดการครบทั้งระบบ น้ำจะต้องเข้ามาที่อุโมงค์ยักษ์และจะมีระบบระบายน้ำออกอีกทอดหนึ่ง นี่คือภาพใหญ่"
จักรพงษ์ ระบุว่า ขณะที่เปรียบเทียบกับรัฐบาลพล.อ ประยุทธ์ที่ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท แต่กลับยังมีปัญหาเหมือนเดิม เพราะเป็นการของบประมาณแต่ละปีของแต่ละหน่วยไป แล้วได้เพียงการจัดการน้ำในปีนั้นๆ อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลนี้จะหยิบโครงการนี้ไปดำเนินการเพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งระบบตอนนี้กับระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลคงไม่ทันแล้ว ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลเราจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อทันที โดยวันนี้เรามีภาพของทั้งประเทศแล้ว และและนโยบายที่เราจะออกมาในอนาคตจะมีรูปแบบที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด” จักรพงษ์ กล่าว