ที่โตโยต้า ยูเนียน เซ็นเตอร์ จ.ฉะเชิงเทรา ในเวทีสัมมนาของคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม (กมธ.) เรื่อง 'รัฐสวัสดิการ ฝันที่ศิวิไล ทำอย่างไรจะไปถึง' ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และที่ปรึกษา กมธ.วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ร่วมบรรยายในหัวข้อ 'ประเทศไทยมีศักยภาพในการสร้างรัฐสวัสดิการหรือไม่' โดยเริ่มต้นด้วยการแจกแจงงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมต่างๆ ตามช่วงอายุที่คนไทยจะได้รับ พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการสร้างรัฐสวัสดิการอย่างแน่นอน
ธนาธร กล่าวด้วยว่า การจะทำให้สวัสดิการประชาชนดีขึ้นกว่านี้ ทำให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่เรื่องที่ทำไมได้ ไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่มีศักยภาพ หากแต่อยู่ที่เจตจำนงของผู้มีอำนาจว่าจะทำหรือไม่ ทั้งนี้จะเป็นได้ ต้องทำอย่างน้อย 4 เรื่อง ได้แก่ เรื่องที่ 1.ปฏิรูปส่วนราชการ หน่วยงานที่ซ้ำซ้อนต้องยุบให้เป็นหน่วยเดียว เพราะนั่นหมายถึงการลดค่าใช้จ่ายประจำอย่างบุคคลากร ครุภัณฑ์ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก 2.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงิน เป็นต้นว่า สัดส่วนการเพิ่มขึ้นของข้าราชการที่ผ่านมามีทหารเพิ่มขึ้นเยอะกว่าพยาบาล นี่คือการจัดทรัพยากรที่ไม่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศ ถามถึงสามัญสำนึก วันนี้ต้องการทหารหรือพยาบาลมากกว่ากัน เงินที่เท่ากันนี้จะเพิ่มให้กับทหารหรือพยาบาล นี่เป็นเรื่องเดียวกัน
3. ลดการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ กรณีอนุมัติซื้อเรือดำน้ำอีก 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท และยังมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องอีก 8,400 ล้านบาท สำหรับท่าเรือจอด โรงงานเก็บตอร์ปิโด เรือยกพลขึ้นบก อาคารข้าราชการต่างๆ เป็นต้น คำถามคือสถานการณ์แบบนี้มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะซื้อเรือดำน้ำ และ 4.ยุติการเอื้อกลุ่มทุน ซึ่งที่ผ่านมาโครงการต่างๆ ของรัฐเข้าทำนองว่านายทุนต้องมาก่อนส่วนประชาชนรอไปก่อน ยกตัวอย่าง การให้ประโยชน์กับบริษัทปลอดภาษีในสนามบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 บริษัทดังกล่าวได้รับการเยียวยาด้วยความรวดเร็ว แต่ประชาชนกว่าจะได้เยียวยาต้องรอนานมาก
"ถ้าเราทำทั้ง 4 เรื่องนี้ได้สำเร็จ ผมเชื่อว่าสวัสดิการของประชาชนในประเทศนี้จะดีขึ้นได้ งบประมาณด้านสวัสดิการ ปี 2564 กว่า 4 แสนล้านบาท เชื่อว่าถ้าทำตามที่กล่าวมาได้ การจัดการงบประมาณแบบใหม่จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก 50% คือเพิ่มขึ้นอีกราว 2 แสนล้านบาท ผมกล้ายืนยันว่าจากประสบการณ์ กมธ. งบประมาณฯ ที่ผ่านมา มั่นใจว่าใน 2-3 ปีนี้สามารถทำได้อย่างแน่นอน" ธนาธร กล่าว
ธนาธร กล่าวต่อว่า ประเทศเรามีศักยภาพทำให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นได้ อยู่ที่เจตจำนงทางการเมืองว่าจะทำหรือไม่ จะกล้าคุยกับข้าราชการเรื่องการตัดงบที่ไม่จำเป็นหรือไม่ จะกล้าคุยกับนายทุนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศไม่ใช่ประโยชน์ตัวเองหรือไม่ จะกล้าปฏิรูปกองทัพหรือไม่ จะกล้าปฏิรูปความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับทุนหรือไม่ สำหรับคนที่เข้ามาทำการเมืองเพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพื่อประโยชน์ เพื่อหน้าตาตัวเอง เขาไม่ทำแน่นอน เพราะการทำเรื่องนี้จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ และมีแรงกดดันมหาศาลมาก ถ้าไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนย่อมไม่มีเจตจำนงทำเรื่องนี้
"บันไดขั้นแรกที่จะไปสู่รัฐสวัสดิการได้ ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาทหารออกจากการเมือง แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้ ทำให้การเมืองเป็นปกติ เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว ต้องปฏิรูประบบราชการ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ กระจายอำนาจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ต้องปฏิรูปกองทัพให้อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ลดขนาดกองทัพลง ทำให้เป็นกองทัพที่ทันสมัย ต้องปฏิวัติระบบการศึกษา ลงทุนเพิ่มขึ้นในโรงเรียน กับครู กับเทคโนโลยีและอุปกรณ์การเรียนการสอน เป็นต้น สิ่งที่ผมพูดไม่ใช่ทางเลือก เป็นทางออกทางเดียวของประเทศที่เหลืออยู่ และเป็นบันไดขั้นแรกที่จะได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการ" ธนาธร กล่าว