เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 19 เม.ย. 2566 ที่มูลนิธิเจริญเชื้อ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เศรษฐา ทวีสิน ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการปราศรัยที่ จ.ขอนแก่น โดยประกาศเป็นนโยบาย ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนที่จะเข้าสู่การเมือง ว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนกับปัญหายาเสพติดเป็นอย่างมาก ตนได้ฟังปัญหาเยอะมากมีทั้งผู้ค้ายา มีผู้ป่วย มีขบวนการรัฐด้วยที่ยังไม่ได้บริหารจัดการในพื้นที่ สำหรับผู้ค้ายานั้นก็ต้องบริหารจัดการให้เด็ดขาด
เศรษฐา ระบุว่า ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย ถ้าได้รับเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลจะจัดการปัญหายาเสพติดภายใน 1 ปี ยึดทรัพย์ผู้ค้าให้เร็วขึ้นและโทษต้องหนักขึ้น โดยต้องมีหลายหน่วยงานและกระทรวงที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นตนเอง หรือ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย เราจะนั่งหัวโต๊ะ เป็นเจ้าภาพบริหารจัดการเองในเรื่องยาเสพติดให้หมด
เมื่อถามว่าภายใน 1 ปีที่จะได้เห็นหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เศรษฐา ระบุว่า ราคายาบ้าต้องแพงขึ้น หรือหายไป เรื่องยึดทรัพย์ผู้ค้าผู้กระทำความผิดและการบำบัดรักษาผู้ป่วยต้องเร็วขึ้น
“ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลผมจะนั่งหัวโต๊ะและบริหารจัดการเอง” เศรษฐา ระบุ
เมื่อถามถึงกรณี มีพรรคการเมืองหนึ่งในภาคอีสานจะเน้นการหาเสียงโดยระบุว่าเป็นพรรคพี่พรรคน้อและนำชื่อของพรรคเพื่อไทยไปหาเสียง นายเศรษฐา ระบุว่า ตนเองไม่ทราบว่ามีผลหรือไม่ แต่ที่แน่นอนที่สุดมีการอ้างชื่อพรรคเพื่อไทยแน่นอน ตรงนี้ก็ให้ชัดเจน ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง เพราะตนได้บอกเวทีปราศรัยเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ไปแล้วว่า ไม่มีการจับมือในที่สว่าง และที่มืด วันนี้ตัวแทนระดับแกนนำของพรรคได้ลงพื้นที่กันหมด วันนี้พบปะพี่น้องและปราศรัยหลายๆเวที ไม่มีเวลาไปจับมือกับใครแน่นอน ยืนยันไม่มีพรรคน้อง
เมื่อถามว่า จะมีการบอกไปถึงพรรคการเมืองที่มีการอ้างชื่อพรรคเพื่อไทย ที่กำลังตีกินกระแสของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เศรษฐา ระบุว่า “ไม่ต้องหรอก ไม่ อย่าไปให้ราคาเลยครับ เขารู้อยู่แล้วเราทำอะไรอยู่ เดินหน้าต่อไป แต่หน้าที่ของผมก็คือสื่อสารกับประชาชนว่าไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง ไม่มีการเลือกแพ็คคู่ แต่ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค”
เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะผลักดันนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทได้ เพราะเหลืองบประมาณฯ เพียง 2 แสนล้านบาท เศรษฐา ระบุว่าตนคิดว่าเริ่มไปกันใหญ่แล้ว จริงๆแล้วเมื่อ10 วันที่แล้วก็บอกว่านโยบายนี้เป็นคริปโต มีราคาขึ้นและลง วันนี้ก็มาเรื่องนี่แล้ว ตนว่าอย่าเลย ทั้งนี้ตน จะเดินหน้าชี้แจงนโยบายกับประชาชน คงไม่ต้องไปให้ราคากับการกล่าวหาเป็นคริปโต และตนก็ชี้แจงไปหลายรอบแล้ว