เศรษฐกิจ
จดหมายเปิดผนึก : จาก 'ไมเนอร์' สู่ พล.อ.ประยุทธ์
หลังเกิดกระแสการแชร์ภาพจดหมายที่มีหัวกระดาษเป็นตราบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทั่วโลกออนไลน์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ก่อนส่งผ่านมายังเฟซบุ๊ก
‘วอยซ์’ ได้รับการยืนยันจากทีมสื่อสารองค์กรว่า ‘วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค’ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการจัดการ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้เขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวจริง ทั้งยังมีความประสงค์ที่จะส่งสารถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ในจดหมายดังกล่าว ไฮเน็ค ชี้ว่า ตนเองรับทราบถึงความพยายามของฝั่งรัฐบาลในการจัดการวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 มาตั้งแต่ต้น ทั้งยังมองว่ามาตรการต่างๆ นั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยเยียวยาเศรษฐกิจจริง
อย่างไรก็ดี เมื่อประเทศเกิดการระบาดอีกครั้งในเดือน ธ.ค. 2563 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการซึ่งยังไม่ฟื้นตัวดีจากการระบาดรอบแรกต้องมาโดนคลื่นล็อกดาวน์ในประเทศซัดเพิ่มจนหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง
จริงอยู่ที่ประเทศเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้างแล้ว แต่ประธานบริหารสูงสุดของไมเนอร์ ชี้ว่า ยังมีอีกหลายช่องทางเพื่อเร่งความเร็วในกระบวนการทางวัคซีนเพื่อเอื้อให้เศรษฐกิจของไทยกลับมาขับเคลื่อนได้อีกครั้ง โดยไฮเน็คพูดถึงข้อเสนอแนวนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนสำคัญ 4 ประการด้วยกัน
เสนอนโยบาย 4 ข้อ
1.ข้อเสนอประการแรก ไฮเน็ค มุ่งเป้าไปที่การแจกจ่ายวัคซีนให้ครอบคลุมพนักงานในอุตสาหกรรมบริการ โดยย้ำว่า พนักงานบริการจำนวนมากทั้งลูกเรือของสายการบิน นักบิน ตลอดจนพนักงานโรงแรม ล้วนเป็นหนึ่งในบุคลากรกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาดและนับเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง
ด้วยเหตุนี้ การจัดอันดับความสำคัญให้แรงงานในกลุ่มนี้อยู่ร่วมกับบุคลากรสาธารณสุขและผู้มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ ในการรับวัคซีนเฟสแรก จะเป็นการช่วยป้องกันความเสี่ยงในการแรพ่ระบาดของประเทศได้
ไฮเน็ค ยังยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) ที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรไปแล้วราว 2 ล้านโดส หรือคิดเป็นประมาณ 20% ของตัวเลขประชากรทั้งประเทศ ซึ่งประธานบริหารไมเนอร์อ้างว่า กลุ่มพนักงานบริการของยูเออีได้รับการจัดอันดับการได้รับวัคซีนในเฟสต้นๆ
2.ข้อเสนอที่สองของผู้บริหารสูงสุดแห่งไมเนอร์เป็นการแนะนำการจัดหาวัคซีนให้หลากหลายมากขึ้นด้วยว่าภาวะปัจจุบันยังมีความเสี่ยงสูงและประเทศต้องการวัคซีนเร่งด่วน
ประธานไมเนอร์ย้ำว่า แม้รัฐบาลจะมีความพยายามจัดการไทม์ไลน์แจกจ่ายวัคซีนอย่างถี่ถ้วน แต่ต้องนับว่ายังช้าเกินไป ด้วยเหตุนี้ การตั้งธงไว้แค่วัคซีนจากแอสตราเซเนกาและซิโนแวคอาจไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงควรเร่งให้เปิดทางให้นำเข้าวัคซีนจากผู้ผลิตอื่น
ในฐานะเอกชน ไฮเน็ค ชี้ว่า ตนเองต้องการกระตุ้นให้รัฐบาลอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนและสถานที่กักตัวทางเลือก Alternative State Quarantine (ASQ) หรือโรงแรมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้เปิดเป็นสถานที่กักตัวได้ สามารถจัดการการฉีดวัคซีนให้กับแขกของตนเองได้ระหว่างช่วงการกักตัว
3.ประเด็นที่สามจากฝั่งไมเนอร์คือข้อเสนอให้รัฐบาลอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยย้ำว่า ตนเองเข้าใจดีเรื่องมาตรการสวมหน้ากากอนามัยและการป้องกันเชื้อไวรัสอื่นๆ ทว่ารัฐบาลควรอนุญาตให้นักธุรกิจสามารถเดินทางทั้งในและต่างประเทศเพื่อการค้าและการลงทุนได้เช่นเดิมแล้ว
4.ท้ายสุด ไฮเน็ค ชี้ว่า รัฐบาลควรเตรียมพร้อมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้วผ่านแนวนโยบาย ‘หนังสือเดินทางวัคซีน’ (Vaccination Passports)
พร้อมยกตัวอย่างกรณีประเทศเซเชลล์ซึ่งบังคับใช้แนวนโยบายบายอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ โดยประธานบริหารไมเนอร์แนะว่าให้ยกจังหวัดภูเก็ตขึ้นมาเป็นจังหวัดทดลองสำหรับกรณีข้างต้น ก่อนขยายไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ
ไฮเน็คปิดท้ายว่ารัฐบาลจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมบริการของประเทศ สภาพเศรษฐกิจ ไปจนถึงความเป็นอยู่ของผู้คน ซึ่งตัวเขาเชื่อว่ามาตรการแจกจ่ายวัคซีนที่เหมาะสมและตรงจุดจะช่วยให้ประเทศไทยกลับไปเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติอีกครั้ง ก่อนกล่าวขอบคุณ และย้ำว่าตัวเขารอที่จะได้ช่วยเหลือรัฐบาลเพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยขึ้นมาอีกครั้ง
ตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 3/2563 บริษัทมีรายได้รวมเพียง 44,889 ล้านบาท และมีผลขาดทุนถึง 15,816 ล้านบาท
ปัจจุบัน ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำธุรกิจอยู่ใน 3 ส่วนใหญ่ ได่แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารภายใต้ชื่อ The Minor Food Group Pcl, กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้ชื่อ Minor Hotel Group และกลุ่มธุรกิจเอกชนอื่นภายใต้ชื่อ Minor Corporation Pcl
หมายเหตุ :
