ผู้โดยสารทุกคนบนรถไฟมีปลายทางไปยังเขตปกครองพิเศษของรัสเซียที่คาลินินกราด ซึ่งสามารถเข้าถึงได้โดยทางรถไฟที่จะต้องข้ามผ่านลิทัวเนียเท่านั้น และบนชานชาลาด้านนอก พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ 24 รูปภาพสงครามและการทำลายล้างในยูเครน ที่ก่อขึ้นโดยกองทัพรัสเซียตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ รูปต่างๆ ถูกนำมาติดเอาไว้บริเวณชานชาลาโดย LTG ผู้ให้บริการรถไฟของลิทัวเนียแก่รัสเซียในการเดินทางเข้าสหภาพยุโรป
ภาพทั้ง 24 รูปเปิดเผยให้เห็นถึงเหยื่อที่เป็นพลเรือนชาวยูเครน ทั้งเด็กและผู้หญิง ทั้งที่ได้รับบาดเจ็บและกลายเป็นศพจากการทิ้งระเบิดและเข้าโจมตีโดยกองทัพรัสเซีย พร้อมกับข้อความในแต่ละป้ายว่า “วันนี้ ปูตินกำลังฆ่าพลเรือนในยูเครน พวกคุณให้การสนับสนุนสิ่งเหล่านี้หรือ”
แมนทาส ดูเบาส์กาส โฆษกของ LTG เปิดเผยว่า “ประชาชนในรัสเซียไม่มีช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่มีอคติมากนัก บางทีเราอาจจะเปลี่ยนใจผู้โดยสารสักคนสองคนได้” ทั้งนี้ ลิทัวเนียเคยเป็นอดีตชาติสมาชิกสหภาพโซเวียตร่วมกันกับรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี ลิทัวเนียแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนเองไม่หวั่นกลัวสงครามจากรัสเซีย พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกลุกขึ้นต่อต้านรัสเซียจากการทำสงครามในยูเครนด้วยเช่นกัน
ลิทัวเนียได้รับเอกราชตั้งแต่ปี 2533 ก่อนที่จะเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือเมื่อปี 2547 ทั้งนี้ ลิทัวเนียเป็นชาติบอลติกซึ่งมีสถานะเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ที่มีพรมแดนติดกันกับคาลินินกราดทางตะวันตกของตน และเบลารุสทางตะวันออก แต่ภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นภัยต่อตนเองกลับไม่ได้ทำให้ลิทัวเนียเกรงกลัวรัสเซีย พวกเขาเริ่มประดับธงยูเครนในเมืองตั้งแต่วันแรกที่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครนโดยทันที
เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ลิทัวเนียเป็นชาติแรกของสหภาพยุโรปที่ประกาศการตัดการนำเข้าก๊าซของตนเองจากรัสเซียให้เหลือศูนย์ พร้อมเรียกร้องให้ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปทำตามตน เพื่อตัดแหล่งเงินทุนในการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน ในขณะที่หลายชาติสหภาพยุโรปยักษ์ใหญ่ยังคงลังเลกับการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซีย เนื่องจากตนยังคงพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจำนวนมากจากรัสเซีย
นอกจากนี้ ลิทัวเนียยังเป็นชาติแรกของสหภาพยุโรปที่ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียลงทันที หลังจากที่ภาพเหตุการณ์ในเมืองบูชาได้รับการเปิดเผยออกมา จนส่งผลให้ทั่วโลกประณามรัสเซียว่ากำลังก่ออาชญากรรมสงครามขึ้นในยูเครน ทั้งนี้ ลิทัวเนียได้ถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตนออกจากกรุงมอสโก และขับเจ้าหน้าที่การทูตของรัสเซียออกนอกประเทศตนเองแล้ว
ที่มา: