ไม่พบผลการค้นหา
'กมธ.ตำรวจ' ขึ้นชั้น 14 ที่ 'ทักษิณ' พักรักษาอาการป่วย เผย รพ.ตำรวจให้ความร่วมมือ แม้ไม่เจอตัว ยัน 'อดีตนายกฯ' ไม่ผิดที่อยู่ที่นี่ แต่กรมราชทัณฑ์ต้องเปิดเผยให้ชัดเจน ถ้าไม่ชี้แจงจะเป็นจำเลยสังคม

วันที่ 12 ม.ค. ชัยชนะ เดชเดโช สส.ประชาธิปัตย์ ในฐานะประฐานกรรมาธิการการตำรวจ และทิพา ปวีณาเสถียร สส.ลำปาง พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการตำรวจฯ กล่าวหลังจากที่ได้ขึ้นไปบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจซึ่งเป็นที่พักรักษาอาการป่วยต่อตามความเห็นของแพทย์ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า วันนี้ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับโรงพยาบาลตำรวจโดยมี พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ สบ.8 ว่าตอนนี้มีผู้ต้องขังมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจที่พักค้างคืนมีแค่ ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว ที่เหลือเป็นผู้ต้องขังที่ป่วยมารักษาแบบไปเช้าเย็นกลับ

ทั้งนี้ ได้หารือตามกรอบระเบียบโรงพยาบาลตำรวจได้อนุญาตให้ขึ้นไปชั้น 14 โดยโดยมีตัวแทนกรรมาธิการ 2 คนเพื่อไปดูขั้นตอนและวิธีการคุมขัง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฎิบัติหน้าที่อยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สน.ปทุมวัน บนชั้น 14 มีเจ้าหน้าที่ยืนปฎิบัติหน้าที่อยู่ 8 นาย โดยเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ 2 คนตำรวจท้องที่ 3 คน และสันติบาลอีก 3 คน หลังจากที่เห็นการทำงานบนชั้น 14 แล้วก็ลงมาที่ชั้น 7 มาดูขั้นตอนการปฏิบัติกับนักโทษที่มารักษาโรคต้อกระจก ซึ่งวิธีการปฏิบัติก็ถูกต้องตามระเบียบเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ตนเองไม่ได้เจอ ทักษิณบนชั้น 14 แต่อย่างใด เนื่องจาก พ.ร.บ.ส่วนบุคคลอนุญาตให้กรรมาธิการดูได้แค่บริเวณหน้าลิฟท์เท่านั้น

ชัยชนะ ยังกล่าวอีกว่าวันนี้มาเพื่อให้สังคมหายข้อสงสัยสิ่งที่ทำได้ตามระเบียบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายคือได้เจอเจ้าหน้าที่ ส่วนทักษิณนอนรักษาตัวที่ชั้น 14 หรือไม่ก็เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ชี้แจง เพราะมี พ.ร.บ.ส่วนบุคคลมีสิทธิ์ ที่จะให้ใครเยี่ยม หรือห้ามเยี่ยมซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา แต่วันนี้กรรมาธิการไม่ได้มาขอเยี่ยมใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่มาดูขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเท่านั้น

ส่วนวิธีการรักษาทักษิณก็ไม่ได้บอกอยู่แล้วเพราะอยู่ในความควบคุมของแพทย์ซึ่งก่อนหน้านี้โรงพยาบาลก็ได้มาเปิดเผยเบื้องต้นแล้วว่าทักษิณป่วยและรักษาอยู่หลายโรค ทั้งนี้การควบคุมตัวของทักษิณบนชั้น 14 เจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ ได้ส่งภาพถ่าย ส่งทางไลน์ให้กับผู้บังคับบัญชา เพื่อรายงานทุก 2 ชั่วโมง และในห้องที่ผู้ต้องขังพักอยู่ก็ไม่ได้ล็อกผู้คุมสามารถเดินเข้าห้องได้ตลอดเวลา

ชัยชนะ ยังกล่าวอีกว่ากรรมาธิการไม่ก้าวล่วงการรักษาของแพทย์ หลังจากที่ประชาชนสงสัยทักษิณนอนพักรักษาตัวนาน 140 วันแต่อาการป่วยก็ยังไม่หายเพราะหน้าที่ของกรรมธิการคือมาหาข้อเท็จจริงหลังจากนี้ต้องกลับไปถามราชทัณฑ์ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในเอกสารที่กรรมาธิการขอไปว่าผู้คุมคนไหนที่เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ดูแลทักษิณและ ผลเปลี่ยนเวรกันอย่างไร และค่ารักษาพยาบาลที่แจ้งว่า สปสช. และหากเกิน 10 สามารถเบิกเบิกใช้ส่วนตัวได้นั้นได้ใช้ระเบียบข้อไหน และสุดท้ายคือสำเนาใบ รท.101 ซึ่งเป็นประวัติก่อนเข้าเรือนจำของทักษิณว่าได้ทำไปหรือไม่ ซึ่งข้อสงสัยของโรงบาลตำรวจวันนี้ถือว่าสิ้นข้อสงสัยแล้ว

ชัยชนะ กล่าวอีกว่าวันนี้โรงพยาบาลไม่ได้นำภาพการรักษาของทักษิณมาแสดงให้กรรมาธิการดูเพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ส่วนการเข้ามาศึกษาดูงานของกรรมาธิการฯ ครั้งนี้แตกต่างจากองค์กรอิสระ และ คปท. ที่เข้ามาก่อนหน้าหน้านั้นอย่างไรนั้นย้ำว่ากรรมาธิการมาตามกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 129 มาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สังคมสงสัย และยืนยันว่าจะทำตามกรอบและอำนาจหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจให้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น วันนี้ต้องขอบคุณโรงพยาบาลตำรวจที่อนุเคราะห์ให้ขึ้นไปถึงชั้น 14 ไปดูถึงหน้าห้องได้

ส่วนบนชั้น 14 จะมีทักษิณนอนรักษาตัวอยู่จริงหรือไม่นั้น ตนเองตอบไม่ได้เพราะไม่ได้เห็นเพราะขึ้นไปในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น อยู่แค่หน้าชั้น ที่เหลือเจ้าหน้าที่ควบคุมอยู่ ไม่ได้เห็นลักษณะห้องหรือเดินเข้าไปภายในโซนที่นอนพักรักษา เอาไว้วันหลังถ้าตนเองป่วยแล้วจะเข้าไปรักษาตัวที่ชั้น 14 แล้วจะบอกได้ว่าห้องนั้นเป็นอย่างไรแต่ตนเองคงจะไม่ มาวันนี้ไม่ได้ผิดหวัง เพราะได้ขึ้นไปชั้น 14 แล้ว

ชัยชนะ ยังกล่าวอีกว่า ทักษิณไม่ได้ทำผิดอะไร แต่กรมราชทัณฑ์ถ้าต้องการตกเป็นจำเลยของสังคม ก็ต้องชี้แจงข้อสงสัยทั้งหมดให้สังคมเข้าใจ ถ้าวันไหนชี้แจงไม่เข้าใจให้จำคำตนเองไว้ว่า จำเลยของสังคมก็คือกรมราชทัณฑ์ ส่วนโรงพยาบาลตำรวจสิ่งที่ทำวันนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว ทั้งให้ความร่วมมือ และข้อเท็จจริงกับ กรรมาธิการตำรวจ (กมธ.ตำรวจ)

และก่อนเดินทางกลับ ชัยชนะยังได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่าได้ข้อมูลมาจาก พล.ต.ต.สามารถ ว่ากล้องวงจรปิดของตึกที่ ทักษิณนอนรักษาตัวอยู่เสียทั้งหมดและไม่ได้เสียแค่ตึกเดียวแต่เสียทั้งโรงพยาบาลตั้งแต่ปีที่แล้วจึงอยากฝากไปถึง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้อนุมัติงบประมาณให้โรงพยาบาลตำรวจ 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินการปรับปรุงและเปลี่ยนกล้องวงจรปิดใหม่ทั้งหมดทั้งหมด