ไม่พบผลการค้นหา
สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ เตือนโรคไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคที่มีอาการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในไขสันหลัง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเข้าทำลายไขสันหลัง หรืออาจเกิดภายหลังการติดเชื้อ

นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไขสันหลังอักเสบคือโรคที่มีอาการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในไขสันหลัง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเข้าทำลายไขสันหลัง หรืออาจเกิดภายหลังการติดเชื้อ อาทิ โรคติดเชื้อไวรัส โรคทางภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ เช่น โรคเอส แอล อี โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง การได้รับวัคซีน เช่น วัคซีนโรคหัด โรคคางทูม โรคไขสันหลังอักเสบส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาการแสดงของโรคดังกล่าว ผู้ป่วยจะมีอาการแขนขา อ่อนแรง ชา หรือ    มีอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ โดยบางรายจะมีอาการแสบร้อน หรือมีอาการคล้ายมีอะไร มารัดตามตัว มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายเป็นตะคริว ทั้งนี้การป้องกันภาวะปลอกหุ้มเส้นประสาทไขสันหลังอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสนั้น ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง อาจป้องกันโดยการรักษาสุขอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองที่ดีเมื่อเป็นโรคไขสันหลังอักเสบ คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกายภาพบำบัด ฝึกการขับถ่ายตามแพทย์แนะนำ ดูแลอย่าให้ท้��งผูก ป้องกันการติดเชื้อ ในระบบทางเดินปัสสาวะ ทานยาให้ครบถ้วน ไม่ขาดยา และควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการแขนขาอ่อนแรงมากขึ้น

นพ.เมธา อภิวัฒนากุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ ด้านเวชกรรม สาขาประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยของการเกิดโรคเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง อาจมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค ร่วมกับปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่มากระตุ้น เช่น การติดเชื้อไวรัส เป็นต้น

สำหรับการวินิจฉัยโรคเพื่อหาสาเหตุของไขสันหลังอักเสบ คือ 1. การส่งตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูตำแหน่งรอยโรค และเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจแสดงอาการคล้ายคลึงกัน เช่น การมีก้อนมากดทับไขสันหลัง 2. การตรวจน้ำไขสันหลังเพื่อดูการอักเสบ และส่งตรวจเพื่อหาเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไขสันหลังอักเสบ 3. การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ซึ่งจะบอกสาเหตุที่แน่ชัดและช่วยวางแผนการรักษาในระยะยาว ทั้งนี้การรักษาถ้าเกิดจากการ ติดเชื้อไวรัสต้องให้ยาต้านไวรัส แต่หากเกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติในระยะเฉียบพลัน จำเป็นต้องได้รับยาสเตียรอยด์ขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นต้องได้รับการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา สำหรับการรักษาในระยะยาวขึ้นอยู่กับผลของการตรวจเลือด ถ้าพบว่ามีการกำเริบของโรคจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 – 5 ปี ส่วนในกรณีที่เป็นโรคไขสันหลังอักเสบแต่ไม่พบการกำเริบของโรค ผู้ป่วยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพียงระยะสั้น 6 เดือน เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันมีผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ เบาหวาน ไขมันสูง กระดูกพรุน เป็นต้น