วันที่ 5 เม.ย. 2566 ที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัย ONE TEAM FOR ALL THAIS : หนึ่งทีม เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน จากพรรคเพื่อไทย พร้อมลงรายละเอียดนโยบายประเป๋าเงินดิจิทัล
เศรษฐา เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงแรงบันดาลใจก่อนเข้าการเมืองว่า ตลอดชีวิตได้พบเจอกับความไม่เท่าเทียมทั้งทางฐานะและโอกาสที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย ตนพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันความเท่าเทียมทางฐานะและโอกาสเสมอมา แต่ทางเดียวที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้ ภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อรับบทบาท 'ผู้นำประเทศ' ในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ เพื่อให้ลูกหลานได้มีสังคมและชีวิตที่ดีกว่า
เมื่อถึงไฮไลต์สำคัญของการประกาศนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นั่นคือ ‘การเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล’ ที่เคยประกาศไว้ในงาน คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา แต่ยังไม่บอกตัวเลขว่าเท่าไร และนโยบายการต่างประเทศเพื่อหาตลาดส่งออกสินค้าไทย
อย่างแรก การนำเทคโนโลยีการเงินมาใช้เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล พร้อมเติมเงินให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้ใช้ซื้อของในชีวิตประจำวันได้จากร้านค้าในชุมชนให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเงินที่จะเติมให้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลมีมูลค่าถึง 10,000 บาท เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจไทย และลดช่องว่างรายได้ ในขณะที่รัฐบาลจะได้รายได้กลับคืนมาในรูปแบบของภาษี และการยกระดับเศรษฐกิจทั้งระดับ
อย่างที่สอง พรรคเพื่อไทยขออาสาหาตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้าในไทย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือสุราพื้นบ้าน ให้สินค้าจากไทยเข้าถึงตลาดทั่วโลก ที่จะนำรายได้มหาศาลมาสู่ประชาชน โดยหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะมีการยกระดับการเจรจาทางการทูตเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจแต่ยังรวมถึงสิทธิ์ฟรีวีซ่าของพาสปอร์ตไทยในอีกหลายๆ ประเทศ ด้วยเช่นกัน
เศรษฐา ได้ย้ำถึงความสำคัญในการเจรจาการทูตว่า นอกจากความอิสระของพาสปอร์ตไทยแล้วในอีกมุมหนึ่งยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้จ่าย เพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยและเอกชนในต่างประเทศก็สำคัญ เพราะเพื่อไทยจะไปเจรจากับบริษัทต่างประเทศให้เลือกลงทุนที่ประเทศไทย เพิ่มตำแหน่งงาน เพิ่มรายได้ให้คนไทย
เศรษฐา ระบุถึงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ที่หลากหลายของคนไทย ต้องมีการผลักดันจากภาครัฐและสร้างพื้นที่รองรับการแสดง Soft Power เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงคอนเสิร์ต, งานศิลปิน, เทศกาลหนัง และอื่นๆ อีกมากมาย ให้เมืองไทยกลายเป็นหมุดหมายที่ทั่วโลกอยากเข้ามาจัดการแสดงที่ประเทศไทย
อย่างที่สาม คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทัดเทียมระดับโลก โดยประเทศไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศ ทางราง และทางเรือ ให้สามารถรองรับผู้คนและสินค้าให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบิน ขยายโครงข่ายรถไฟให้เชื่อมเหนือจรดใต้ และเพิ่มความสามารถของท่าเรือเชื่อมต่อ โดยที่พรรคเพื่อไทยจะยังไม่ละเลยความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้องบริหารจัดการให้เติบโตไปพร้อมกับประเทศได้ อย่าง การนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ชลประทานอย่างเป็นระบบภายใต้การประสานงานของหน่วยงานรัฐที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นหัวใจหลัก
และเราต้องการอากาศสะอาดที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต ประชาชนไม่ควรต้องร้องขอจากรัฐ โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 ที่เราเผชิญอยู่ รัฐบาลที่ดีต้องแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยถ้าหากได้เป็นรัฐบาล จะร่วมผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด โดยทันที
เศรษฐา ยังประกาศว่า ศัตรูของคนคือความยากจน ความไม่เท่าเทียม ความลำบากของประชาชน ชัยชนะต่อสิ่งเหล่านั้น คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราทุกคน และตนมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานเพื่อที่น้องประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงต้องขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนช่วยเป็นกำลัง เพื่อส่งเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาลได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาจากพรรคเพื่อไทย โดยการเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ทั้งคน ทั้งพรรค เพื่อส่งต่ออนาคตที่มีแสงสว่าง มีความหวังให้ลูกหลานของเรา