ยูเครนยังคงเดินหน้าการรุกคืนพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจากรัสเซียอย่างไม่คาดฝันและรวดเร็ว โดยยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ตลอดการประจัญบานเพียงแค่ 3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงยืนยันว่า หลายพื้นที่ได้ถูกยึดคืนไปแล้วจริง
“(มันเป็น) ปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลพิเศษครั้งใหญ่” ทาราส เบเรโซเวตส์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ผันตัวมาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวของกองพลโบฮูน ของกองกำลังพิเศษยูเครนระบุ “(รัสเซีย) คิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นทางตอนใต้และได้ย้ายยุทโธปกรณ์ของพวกเขาไป จากนั้นแทนที่จะเป็นทางตอนใต้ การโจมตีกลับเกิดขึ้นในที่ที่พวกเขาคาดเอาไว้น้อยที่สุด และสิ่งนี้ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกและหนีไป”
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา กองบัญชาการทางใต้ของยูเครนประกาศว่า การรุกรานในภูมิภาคเคอร์ซอนที่รอคอยมายาวนานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ทหารในแนวหน้าของเคอร์ซอนกล่าวในตอนนั้นว่า พวกเขาไม่เห็นหลักฐานของการรุกรานดังกล่าว หรือแม้แต่การสู้รบใดๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการโต้ตอบต่อการพยายามโจมตีของรัสเซียเมื่อหลายวันก่อนเลย
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังยูเครนทางตอนใต้ได้เข้ายึดหมู่บ้านหลายแห่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักหากเทียบกับความแข็งแกร่งของกองทัพรัสเซียตามรายงาน และอีกทั้งยังไม่มีการรายงานตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ดี การรุกพื้นที่คืนในทางตอนใต้ไม่ได้ส่งผลแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดของกองทัพยูเครนในภูมิภาคเคอร์ซอน ระหว่างช่วงเดือน ก.ค. และ ส.ค.
ถึงกระนั้น การเข้ายึดหมู่บ้านเล็กๆ ในเคอร์ซอนเหล่านี้ ซึ่งมีประชากรไม่กี่พันคน กลับกลายเป็นข่าวดังระดับนานาชาติ นาตาเลีย ฮูเมนิก โฆษกกองบัญชาการภาคใต้ของยูเครน ยืนกรานในการ “งดให้รายละเอียดจากทางการ” และสั่งห้ามนักข่าวไม่ให้เข้าทำข่าวในแนวหน้าที่เคอร์ซอนชั่วคราว แต่เบเรโซเวตส์กล่าวว่า สื่อที่พยายามซอกแซกทำข่าวโจมตีทางตอนใต้ ได้ช่วยรณรงค์การบิดเบือนข้อมูลของทางยูเครน ที่ถูกออกแบบมาเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ซึ่งมุ่งเป้าไปที่กองกำลังรัสเซีย
เบเรโซเวตส์กล่าวว่ายูเครนประสบความสำเร็จ ในการกระตุ้นให้รัสเซียเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์และบุคลากรไปยังแนวรบด้านใต้ รวมถึงการเคลื่อนย้ายอีกส่วนหนึ่งออกมาจากภูมิภาคคาร์คีฟ “ในขณะเดียวกัน คน (ของเรา) ในคาร์คีฟได้รับอาวุธจากตะวันตกที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาวุธของอเมริกัน” เขากล่าว แหล่งข่าวทางทหารที่มีความรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการดังกล่าวกล่าวว่า ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการพิเศษมุ่งเป้าไปที่การขจัดผู้ให้ข้อมูลในพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยยูเครนในคาร์คีฟ เพื่อหยุดไม่ให้พวกเขาส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมการของยูเครนไปยังรัสเซีย
กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกมายืนยันการล่าถอยดังกล่าวออกจากคาร์คีฟ โดยอธิบายว่าจะมีการรวมกองทัพกันใหม่ ก่อนที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียจะระบุว่าได้ถอยล่าออกจากอิเซียม และเมืองบาลาคเลีย เพื่อ “เสริมกำลัง” ในแนวหน้าที่โดเนตสก์ ทั้งนี้ อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า “ปฏิบัติการ 3 วัน ได้ดำเนินการอยู่ในช่วงล่าถอย และได้มีการจัดการโอนกองกำลังอิเซียม-บาลาคเลียไปยังอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์… เพื่อป้องกันความเสียหายต่อกองทหารรัสเซีย ศัตรูจึงพ่ายแพ้ต่อการยิงที่รุนแรง” สื่อและบล็อกเกอร์ของทางการรัสเซียยืนยันว่าทหารรัสเซียถูกบังคับให้ถอยทัพครั้งใหญ่จากคาร์คีฟในทำนองเดียวกัน
การผลักดันรัสเซีออกจากพื้นที่ของคาร์คีฟ นับเป็นการผลักดันกองทัพรัสเซียครั้งใหญ่ของยูเครน นับตั้งแต่การรุกรานเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนแถลงยืนยันว่า ยูเครนสามารถปลดแอก 30 พื้นที่เดิมกลับมาเป็นของตนได้แล้ว ยังมีประชาชนในพื้นที่อิเซียมให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนที่กองทัพยูเครนมาถึง “กองกำลังผู้รุกรานของรัสเซียได้ถอนกำลังออกไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทิ้งกระสุนและยุทโธปกรณ์ของตัวเองเอาไว้ข้างหลัง”
กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า การตอบโต้ของยูเครนทำให้กองกำลังรัสเซียประหลาดใจ ก่อนระบุเสริมว่ากองกำลังของยูเครนได้รุกล้ำหน้าไป 50 กิโลเมตรตามแนวหน้าแคบๆ และยึดคืนหรือล้อมเมืองต่างๆ หลายแห่ง ทั้งนี้ ด้วยปฏิบัติการของยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อไปในเคอร์ซอน แนวรบป้องกันของรัสเซียได้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทั้งด้านเหนือและด้านใต้” อย่างไรก็ดี รายงานจากทางการรัสเซียระบุว่า ทางการรัสเซียได้พยายามส่งกองกำลังเสริมเข้าไปยังพื้นที่คาร์คีฟแล้ว
ที่มา: