ไอลอว์ระบุว่า จากการตรวจสอบผลการลงมติที่เกี่ยวกับการการพิจารณากฎหมายของ ส.ว.แต่งตั้ง ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 พบว่า ส.ว. ลงมติเกี่ยวกับร่างกฎหมายไปในทิศทางเดียวกันถึง 98% (โดยเฉลี่ย) ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) หากผู้เสนอเป็น ครม. หรือ พรรคฝ่ายรัฐบาล ก็จะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. อย่างถล่มทลาย แม้ร่างกฎหมายนั้น จะได้รับเสียงเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไม่ถึง 60% ก็ตาม หรือ หากเป็นร่างกฎหมายที่ถูกเสนอโดยพรรคฝ่ายค้าน การลงมติของ ส.ว. ก็มีแนวโน้มจะไม่เห็นชอบอย่างถล่มทลายอีกเช่นเดียวกัน
ปรากฎการณ์ที่ ส.ว. ลงมติผ่านกฎหมายจากรัฐบาลและคัดค้านกฎหมายจากฝ่ายค้านไปในทิศทางเดียวกัน อย่างถล่มทลายไม่มีแตกแถว ได้สะท้อนให้เห็นว่า ส.ว. เป็น "สภาหุ่นยนต์" คอยทำหน้าที่ตามใบสั่งจากผู้มีอำนาจและขัดขวางการทำงานของฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยคสช.
97% ของ ส.ว.แต่งตั้ง โหวตผ่าน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่มีแตกแถว เหมือน ส.ส.
นับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ส.ว.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ในวาระที่สาม ไปแล้ว อย่างน้อย 30 ฉบับ โดยจากผลการลงมติในวาระสาม พบว่า ส.ว. มีสัดส่วนการลงมติไปในทิศทางเดียวกันคือ "เห็นชอบ" อยู่ที่ 97.34% (โดยเฉลี่ย) ในขณะที่ผลการลงมติร่างกฎหมายในวาระสามของ ส.ส. มีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันอยู่ที่ 92.61% (โดยเฉลี่ย) ซึ่งหมายความว่า ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง มีการลงมติที่เป็นเอกภาพกว่า ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า เหตุที่ทำให้การลงมติในวาระที่สามของ ส.ว. มีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจาก ร่าง พ.ร.บ. แทบทั้งหมดเป็นร่างกฎหมายที่ถูกเสนอโดยครม. หรือ พรรครัฐบาล ดังนั้น ส.ว. ที่มาจากการคัดเลือกของคสช. ซึ่งนับว่าเป็นขั้วการเมืองฝั่งเดียวกับรัฐบาลจึงลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายของฝ่ายรัฐบาล อีกทั้ง แม้ว่าจะเป็นร่างกฎหมายที่ได้รับเสียงคัดค้านจำนวนมากในสภาผู้แทนฯ แต่ ส.ว. ก็ยังคงลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันไม่มีแตกแถว
ยกตัวอย่างเช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 ที่ถูกพรรคการเมืองฝ่ายค้านและพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลด้วยกันวิจารณ์อย่างหนัก โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญ คือ การปรับลดงบของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งที่เป็นหน่วยงานด่านหน้าในการรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จนเกิดวาทะจาก ส.ส. พรรคภูมิใจไทยถึง อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า "ถ้าเขาไม่รัก ก็กลับบ้านเราเถอะครับ" จนท้ายที่สุดร่างกฎหมายดังกล่าวก็ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปด้วยสัดส่วนเสียงเห็นชอบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ ร่าง พ.ร.บ. ทั้งหมด 30 ฉบับ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา แต่ทว่า เมื่อถึงคราวที่ ส.ว. ลงมติ ส.ว. ก็ยังคงลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันอย่างไม่ค่อยมีการแตกแถวถึง 98.52%
98% ของ ส.ว.แต่งตั้ง อนุมัติ ร่าง พ.ร.ก. ไม่มีแตกแถว แม้บางฉบับ ส.ส. เห็นชอบไม่ถึง 60%
นับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ส.ว.มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.ก. ที่รัฐบาลประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย อย่างน้อย 10 ฉบับ โดยจากผลการลงมติในวาระสาม พบว่า ส.ว. มีสัดส่วนการลงมติไปในทิศทางเดียวกันคือ "เห็นชอบ" อยู่ที่ 98.55% (โดยเฉลี่ย) ในขณะที่ผลการลงมติอนุมัติ ร่าง พ.ร.ก. ของ ส.ส. มีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ 68.77% (โดยเฉลี่ย)
จากผลการลงมติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ส.ว. มีทิศทางการลงมติที่ไปในทิศทางเดียวอย่างไม่มีแตกแถวเพื่อสนับสนุนการออกกฎหมายของรัฐบาลคสช. ในขณะที่การลงมติเพื่ออนุมัติร่าง พ.ร.ก. ของ ส.ส. กลับเป็นไปอย่างแตกต่าง โดยมีกฎหมายอย่างน้อย 5 ฉบับ ที่ได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ส. ไม่ถึง 60% แต่กลับได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. อย่างถล่มทลาย ยกตัวอย่างเช่น ร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงินฯ (วงเงิน 5 แสนล้านบาท) ที่ถูกพรรคฝ่ายค้านวิจารณ์ว่า การกู้เงินดังกล่าวขาดความจำเป็นเร่งด่วน และที่ผ่านมารัฐบาลมีการกู้เงินไปแล้วถึง 1 ล้านล้านบาท แต่ก็ยังล้มเหลวในการบริหารจัดการเงินกู้ก้อนแรก รวมถึงไม่สามารถระงับยับยั้งควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ การเยียวยาก็ไม่ตรงประเด็น การฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ทำไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลให้ฝ่ายค้านไม่อนุมัติ พ.ร.ก. กู้เงินฉบับที่ 2 ของรัฐบาล
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อร่าง พ.ร.ก.ที่ ส.ส. ส่งเสียงค้านอยู่บ้าน ได้ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของ ส.ว. ผลการลงมติ กลับเป็นไปอย่างตรงกันข้าม เพราะ ส.ว. กลับลงมติอนุมัติการใช้ พ.ร.ก. ของรัฐบาลสูงถึง 99.4% ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า ส.ว.ที่มาจากการคัดเลือกของคสช. ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมายผู้ที่ทำการคัดเลือกตัวเอง
99% ของ ส.ว.แต่งตั้ง ลงมติเห็นชอบ "ร่างกฎหมายปฏิรูป" จากรัฐบาลทุกฉบับ
ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 270 วรรคสองและสาม ได้กำหนดช่องทางพิเศษในการพิจารณากฎหมายไว้ว่า ร่างกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของสองสภา หรือ ส.ส. ร่วมกับ ส.ว. หรือหมายความว่า หากเป็นกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีตีความว่าเป็นกฎหมายที่เสนอตามหมวดการปฏิรูปประเทศก็จะมี ส.ว. ที่มาจากการคัดเลือกของคสช. มาร่วมลงมติกฎหมายด้วย
จากข้อมูลนับตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 พบว่า ส.ว. ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปไปแล้วอย่างน้อย 20 ฉบับ โดยจากผลการลงมติ พบว่า ส.ว. มีสัดส่วนการลงมติไปในทิศทางเดียวกันคือ "เห็นชอบ" อยู่ที่ 98.98% (โดยเฉลี่ย) ในขณะที่ผลการลงมติร่างกฎหมายของ ส.ส. มีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันอยู่ที่ 91.35% (โดยเฉลี่ย) ซึ่งหมายความว่า ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง เห็นชอบกับร่างกฎหมายกฎหมายที่เสนอมาตามหมวดปฏิรูปของรัฐบาลทุกฉบับอย่างถล่มทลาย และอาศัยเพียงเสียงเห็นชอบก็เพียงพอต่อการผ่านกฎหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตด้วยว่า การลงมติของ ส.ว. ไม่มีแตกแถว แม้ร่างกฎหมายที่ถูกเสนอจะได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ส. ไม่ถึง 60% ยกตัวอย่างเช่น การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่งในวาระที่หนึ่ง ส.ส. มีมติเห็นชอบ 181 เสียง ไม่เห็นชอบ 151 เสียง และ งดออกเสียง 2 เสียง หรือมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบเพียง 54.19% ในขณะที่ ส.ว. มีมติเห็นชอบ 179 เสียง ไม่เห็น 0 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง หรือมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบถึง 99.44%
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า ช่องทางการเสนอ "กฎหมายปฏิรูป" กลายเป็นช่องทางสำคัญที่รัฐบาลใช้ออกกฎหมายเพื่อตัดหน้าการเสนอกฎหมายของพรรคฝ่ายค้าน ยกตัวอย่างเช่น ร่าง พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย หรือ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่พรรคฝ่ายค้านได้เสนอ แต่เนื่องจากกฎหมายทั้งสองฉบับถูกตีความว่าเป็น "ร่างกฎหมายเกี่ยวข้องกับการเงิน" ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องให้คำรับรองก่อนจึงจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ แต่ทว่า ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับก็ถูกปัดตกเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรอง และหลังจากนั้น ครม. ได้เสนอร่างกฎหมายของตัวเองเข้ามาในฐานะกฎหมายปฏิรูปเพื่อสวมทับกฎหมายของพรรคฝ่ายค้านที่รัฐบาลปัดตกไป
ร่างกฎหมายรัฐบาลโหวตผ่าน ร่างฝ่ายค้าน ส.ว.แต่งตั้ง โหวตสวน!
นอกจากการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ร่าง พ.ร.ก. และร่างกฎหมายที่เสนอตามหมวดปฏิรูปแล้ว อีกหนึ่งกฎหมายที่ ส.ว. จะมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่วมกับ ส.ส. คือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ซึ่งจากข้อมูลการลงมติ ร่าง พ.ร.ป. ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 พบว่า มีการพิจารณาร่าง พ.ร.ป. ทั้งสิ้น 10 ฉบับ แบ่งเป็น ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส จำนวน 4 ฉบับ และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง จำนวน 6 ฉบับ
จากผลการลงมติพบว่า รัฐสภามีมติรับหลักการ (วาระหนึ่ง) ร่าง พ.ร.ป. ทั้งสิ้น 6 ฉบับ แบ่งเป็น ร่าง พ.ร.ป.การเลือกตั้งฯ ส.ส. จำนวน 4 ฉบับ คือ ร่างของครม. เพื่อไทย พลังประชารัฐ และก้าวไกล ส่วนอีก 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯของครม. และ ร่างของพลังประชารัฐ ซึ่งจากผลการลงมติพบว่า หากเป็นร่าง พ.ร.ป. ที่ถูกเสนอโดยรัฐบาล ส.ว. จะลงมติเห็นชอบไปในทิศทางเดียวกันอยู่ที่ 94.40% (โดยเฉลี่ย) ในขณะที่เป็นร่าง พ.ร.ป. ที่เสนอโดยพรรคฝ่ายค้าน จะได้รับเสียงเห็นชอบไม่ถึง 2.70% (โดยเฉลี่ย) แม้ว่า ร่าง พ.ร.ป. นั้นจะได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ส. มากถึง 96.71% ก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ส.ส. มีมติเห็นชอบ 417 เสียง ไม่เห็นชอบ 9 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง ซึ่งมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบต่อการลงมติทั้งหมดคิดเป็น 96.98% แต่ทว่า วุฒิสภากลับมีเสียงเห็นชอบเพียง 3 เสียง ไม่เห็นชอบ 196 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง ซึ่งมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบต่อการลงมติทั้งหมดคิดเป็น 1.43% หรืออย่าง ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคก้าวไกล สภาผู้แทนมีมติเห็นชอบ 412 เสียง ไม่เห็นชอบ 10 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ซึ่งมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบต่อการลงมติทั้งหมดคิดเป็น 96.71% แต่ทว่า วุฒิสภากลับมีเสียงเห็นชอบเพียง 6 เสียง ไม่เห็นชอบ 192 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง ซึ่งมีสัดส่วนการลงมติเห็นชอบต่อการลงมติทั้งหมดคิดเป็น 2.87%
สภาหุ่นยนต์ทำงานสามปี ใช้งบประมาณไปแล้วถึง 2,000 ล้านบาท
จากผลงานการทำงานของ ส.ว. ที่ไม่ได้ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายเท่าที่ควร นำไปสูคำถามสำคัญถึง "ความคุ้มค่า" เพราะถ้าดูจากหนังสือคู่มือชื่อ “สิทธิประโยชน์ของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ” ฉบับที่ตีพิมพ์เดือนเมษายน 2562 จะพบว่า เงินงบประมาณต้องนำมาใช้กับทั้งเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของ ส.ว. ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วยประจำตัว ข้าราชการฝ่ายการเมือง ของวุฒิสภา และคณะทำงานทางการเมือง ซึ่งถ้ารวมจำนวนเงินงบประมาณในช่วงเวลาสามปีที่ต้องจ่ายเป็นค่าตอบแทน ส.ว. และตำแหน่งเพื่อสนับสนุนการทำงานของ ส.ว. ทั้งหมด 2,230,569,000 บาท