ดูเหมือนพื้นที่จะแคบเกินไปสำหรับ 2 คน ในห้องเล็ก ๆ ของ 'ออฟฟี่' และร้อนจนพัดลมแทบจะเอาไม่อยู่ แต่ถ้าเทียบกับชีวิตที่เคยต้องนอนบนพื้นหรือหน้าคอมฯ ในร้านเกม เมื่อหลายปีก่อน ห้องเช่าเดือนละ 1,200 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟ ก็แน่นอนว่าดีกว่ามาก
"ถ่ายหน้าก็ได้นะ ไม่อาย"
ออฟฟี่บอก เขาตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะถูกตั้งกล้องสัมภาษณ์ บทสนทนาเริ่มต้นด้วยเหตุผลที่เขาเลือกทำอาชีพขายบริการ
ออฟฟี่
"ไม่มีตังค์ แล้วก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัว ยายไล่ออกจากบ้าน"
ออฟฟี่เคยเป็นหนึ่งในเยาวชนที่เร่ร่อนอยู่แถวประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ มีคนแนะนำให้เขาลองทำอาชีพนี้เพื่อเลี้ยงปากท้อง เขาจึงใช้ร้านเกมเป็นฐานสำหรับการหาลูกค้า และถือโอกาสอาบน้ำก่อนเริ่มกิจในโรงแรมม่านรูดที่ลูกค้าพาไป
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในร้านเกม จนเจ้าของร้านจ่ายค่าจ้างให้เขาทำงานที่นั่น ทุกวันนี้ออฟฟี่ทำสองงาน มีห้องพักเป็นหลักแหล่ง และแบ่งเงินให้ยาย (ที่ตอนนี้ดีกันแล้ว) ทุกเดือน
"กฎคือห้ามสด และ ห้ามแตกใน"
คิดค่าบริการขั้นต่ำ 500 บาท ไม่รวมค่าม่านรูดที่ลูกค้าจะต้องจ่ายเอง เมื่อถามว่าเขาเลือกลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน ออฟฟี่บอกว่า เวลาที่เงินขาดมือก็เลือกมากไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้บริการคนไทยเพราะส่วนใหญ่ "เล็กกว่าของฝรั่ง"
มีบ้างที่ลูกค้าละเมิดกฎของเขา ความกล้าในการต่อรองขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงินในตอนนั้น ถ้าให้เลือกระหว่างสอดใส่กับทำข้างนอก เขาชอบแบบหลังมากกว่าเพราะไม่เจ็บ สนุก และไม่เสี่ยงต่อการติดโรคด้วย
ข้อมูลอื่นๆ อาทิ เขาชอบไปยืนรอตรงท่าแพมากกว่าการหาลูกค้าออนไลน์ เวลาเฉลี่ยในการทำงานประมาณ 30 นาทีต่อ 'หนึ่งน้ำ' หากเงินไม่พอก็จะออกไปยืนรอลูกค้าคนต่อไป
สถิติต่อคืนที่มากที่สุดของเขาอยู่ที่เลขสาม แม้จะเจ็บแต่เขาบอกว่ามันเป็นความเจ็บปวดที่คุ้มค่ามาก และอยากทำไปจนตาย เพราะเป็นอาชีพที่ได้เงินง่าย ส่วนต้นทุนที่เขาต้องจ่าย นอกจากค่าฟิตเนสเพื่ออัพหุ่น ยังมีค่าถุงยางอนามัย เจลหล่อลื่น และชีวิตที่ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ หน่วยงานที่ใกล้ชิดที่สุดคือ ตำรวจที่เขายัง 'โชคดี' ไม่เคยถูกจับเลยสักครั้ง ต่างจากเพื่อนร่วมอาชีพบางคนที่เสียค่าปรับมานับไม่ถ้วน
คืนนั้น เราเดินไปส่งออฟฟี่ ณ ที่ประจำแถวท่าแพ ยืนรอสักพัก เขาก็ขึ้นไปบนรถเก๋งคันหนึ่ง เจรจากันไม่นานรถก็แล่นจากไป
วันรุ่งขึ้น บทสนทนาใหม่เกิดขึ้นในห้องชั้นดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางไนท์บาซาร์
"มันก็จะมีหลาย ๆ รูปแบบ พาไปนอนด้วยเฉย ๆ แค่นอนนะ ไปนอนฟังมันกรนทั้งคืนอะ ตื่นเช้ามาเขาก็ให้เงินเรา และจะมีแบบเหมาไปประมาณ 7 วัน มันก็ไม่ได้มีเซ็กส์ทุกวันนะ แค่พาเขาไปเที่ยวก็เหนื่อยละ ตกกลางคืนมา อะ กินเหล้ากัน เขามาเที่ยวแค่อยากมารีแลกซ์อะ เซ็กส์มันคือ...ที่บ้านเขาก็ได้ไหม?" แองเจลีน่าเล่า
'แองเจลีน่า' หวังให้อาชีพนี้ขึ้นมาอยู่ในที่สว่าง
'แองเจลีน่า' ใส่เดรสสีดำ ทาลิปสติกสีแดง ปล่อยผมยาว เธอบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะต้องถูกสัมภาษณ์ ปกติไม่แต่งหน้าเยอะขนาดนี้หรอกนะ เพราะลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ชอบแบบธรรมชาติมากกว่า
แองเจลีน่า
'แองเจลีน่า' ต่างจาก 'ออฟฟี่' เธอเลือกทำงานในบาร์ รับลูกค้าฝรั่งเป็นหลัก ชีวิตบนเส้นทางนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่กำลังตกงาน แล้วเห็นคนในหมู่บ้านที่ทำอาชีพเดียวกันเจอคนรักจากอาชีพนี้จนแต่งงานและย้ายไปอยู่ด้วยกัน
เธอจึงบอกกับตัวเองว่า ลองดูก็ได้ เผื่อชีวิตจะลงเอยแบบนั้นบ้าง
ตัดภาพมาที่ช่วงเริ่มงาน เธอใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะรวบรวมความกล้าออกไปกับลูกค้ารายแรก
"เราไม่ต้องตามใจก็ได้นะ สมมติมันเกินเลยไป เช่น คืนนึง ขอสามรอบ สี่รอบ เราก็... โห...ไม่ไหวมั้ง หรือว่าเอาเราไป เอาผู้หญิงไปด้วย ให้เราไปทำกับผู้หญิงแบบนี้ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินฉัน ฉันปฏิเสธ"
หลังเก็บกล้อง จบสัมภาษณ์ เธอพาไปดูบรรยากาศซอยที่เธอทำงาน สถิติการทำงานที่โหดที่สุดอยู่ที่การได้หยุดเพียงแค่สองวันในหนึ่งเดือน แต่ช่วงนี้เธอเลือกทำงานน้อยลงเนื่องจากต้องช่วยดูแลหลานที่ยังเล็กอยู่
"รายได้ถามว่ามันดีไหม มันก็ดีอะ แต่มันก็คือ ใช้ร่างกายเราเหมือนอาชีพอื่น ๆ ได้รายได้มาเยอะ โดนตำรวจจับที เขาจะเอารัดเอาเปรียบเรายังไงก็ได้ ถ้าถูกกฎหมาย ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบอาชีพค้าประเวณีอย่างถูกต้อง เก็บภาษีอย่างถูกต้อง อยากอยู่ในที่สว่างมากกว่า ไม่ต้องมาคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่อย่างนี้นะ แอบค้า แอบขาย โดนทีก็เยอะเหมือนกัน เยอะกว่าที่หามาทั้งเดือนอีก”
เธอเล่าขำ ๆ นอกจากจะต้องมีทักษะการประเมินลูกค้าว่ามีโรคติดต่อหรือน่าไว้ใจมากแค่ไหน คนทำอาชีพนี้ยังต้องคาดเดาได้ด้วยว่าลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าถูกส่งมาจากตำรวจเพื่อ 'ล่อซื้อ' หรือเปล่า
เมื่อถามว่าถ้าวันหนึ่งอาชีพขายบริการทางเพศสามารถอยู่ในที่สว่างได้จริง เธอต้องการอะไร "สวัสดิการ" คือหนึ่งในคำตอบที่ได้รับกลับมา
ชีวิตของออฟฟี่และแองเจลีน่าดำเนินต่อไปในเมืองล้านนา เช่นเดียวกันกับเรื่องราวเดิม ๆ ที่ยังคงเกินขึ้นซ้ำ ๆ ในประเทศที่เม็ดเงินจากธุรกิจค้าบริการทางเพศติดอันดับ 8 ของโลก และเฝ้ารอวันที่สังคมจะถกเถียงกันอีกครั้ง ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้ประกอบอาชีพนี้จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :