ไม่พบผลการค้นหา
แพทย์เตือนระวังออฟฟิศซินโดรม กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นกับคนที่ทำงานในออฟฟิศ ส่งผลให้เกิดโรคและอาการผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหาร หัวใจและหลอดเลือด นัยน์ตาและการมองเห็น

นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า 'กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม' (Office syndrome) คืออาการที่มักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงานที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศทั้งวัน ไม่มีการออกกำลังกายเป็นประจำ และมีสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม การระบายอากาศไม่ดี จึงส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ รวมไปถึงการปวดหลังเรื้อรังจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 8 ชั่วโมง ทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ สะบัก เมื่อย เกร็งอยู่ตลอดเวลา กระบังลมขยายได้ไม่เต็มที่ สมองได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ ทำให้ง่วงนอน และหากมีความเครียดจะส่งผลให้โรคนี้รุนแรงมากขึ้น เช่น เป็นไมเกรนหรือปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดตา หน้ามืด เป็นต้น

นอกจากนี้ อาการอาจรุนแรงจนถึงขั้นหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ทั้งนี้ กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ยังรวมไปถึงระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ เนื่องจากการทำงานอยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เครื่องปรับอากาศไม่สะอาด รวมไปถึงสารเคมีจากหมึกของเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องแฟกซ์ และเครื่องพิมพ์เอกสาร ซึ่งวนเวียนอยู่ภายในห้องทำงานอีกด้วย

ด้านนายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดูแลรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม คือ การรักษาตามอาการอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เพียงปรับเปลี่ยนอิริยาบถ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความรุนแรงมากขึ้นอาจให้ยาบรรเทาอาการหรือได้รับการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย ในทางการแพทย์ปัจจุบันมีทั้งการผ่าตัดเพื่อรักษาที่สาเหตุของโรคหรือให้ยาบรรเทาอาการทั้งในรูปแบบการฉีดยาหรือรับประทานยา เนื่องจากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม 

การป้องกันสามารถทำได้โดย 1. การทำความสะอาดออฟฟิศ หากใช้พรมปูพื้นควรทำความสะอาดพรมอย่างน้อยทุกเดือน 2. การทำงานกับคอมพิวเตอร์ควรพักสายตา เปลี่ยนอิริยาบถ พักเบรกยืดเส้นยืดสายระหว่างการทำงาน โดยลุกขึ้นยืนเดินไปมา 3. ไม่ควรถ่ายเอกสารในออฟฟิศ ควรตั้งเครื่องถ่ายไว้ภายนอก 4. ดูแลเครื่องปรับอากาศโดยการล้างไส้กรองอากาศบ่อยๆ 5.ทำงานในสถานที่ มีแสงสว่างเพียงพอ อุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่เย็นหรือร้อนเกินไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: