มาตรการดังกล่าวซึ่งทางการเรียกว่า “เซอร์กิต เบรกเกอร์” เดิมต้องสิ้นสุดลงวันที่ 4 พ.ค. แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสิงคโปร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการติดเชื้อในหอพักแรงงานข้ามชาติ โดยในวันนี้ (21 เม.ย.) สิงคโปร์มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,111 ราย ทำให้จำนวนรวมผู้ติดเชื้อสะสมล่าสุดอยู่ที่ 9,125 ราย สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ระบุว่า จะขยายมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ไปอีก 4 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อในชุมชนลงและทำให้แน่ใจว่าการติดเชื้อในหอพักแรงงานข้ามชาติไม่แพร่กระจายไปสู่ชุมชนที่กว้างขึ้น หลังจากนั้นรัฐบาลจะประเมินอีกครั้งและพิจารณาคลายมาตรการล็อกดาวน์บางอย่างหลังวันที่ 1 มิ.ย.
โดยผู้นำสิงคโปร์กล่าวว่าเข้าใจดีว่าหลายคนรู้สึกผิดหวังต่อการขยายเวลาบังคับใช้มาตรการนี้โดยเฉพาะธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบหนัก แต่ก็หวังให้ประชาชนเข้าใจว่าความเจ็บปวดระยะสั้นนี้เป็นไปเพื่อขจัดไวรัส ปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของคนที่เรารัก และทำให้สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้
ผู้นำสิงคโปร์ยังยอมรับว่าการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในหอพักแรงงานข้ามชาติซึ่งเป็นที่อยู่ของแรงงานกว่า 230,000 คน นั้นเป็นปัญหาที่น่ากังวล แต่รัฐบาลให้สัญญาว่าจะดูแลแรงงานเหล่านี้ไม่ต่างจากที่ดูแลชาวสิงคโปร์
ขณะที่ 'ลอเรนซ์ หว่อง' รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ไม่พบผู้ติดเชื้อในหอพักแรงงานข้ามชาติ โดยระบุว่าหลายคนมีอาการไม่รุนแรง และมีเพียงการตรวจเป็นวงกว้างในหอพักเท่านั้นที่ทำให้พบการติดเชื้อ โดยทางการสิงคโปร์ไม่อนุญาตให้คนงานย้ายเข้าหรือออกจากหอพักต่างๆ นับตั้งแต่เวลา 23.59 น. ของวันนี้เป็นต้นไป ซึ่งครอบคลุมถึงแรงงานในหอพักที่แปลงจากโรงงานและที่พักชั่วคราวในไซต์งานก่อสร้าง โดยแรงงานก่อสร้างประมาณ 180,000 คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในหอพัก ก็ได้รับการแจ้งให้อยู่แต่ในบ้านตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 4 พ.ค.
สิงคโปร์อยู่ภายใต้การล็อกดาวน์บางส่วนมาตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. โดยที่ทำงานส่วนใหญ่และโรงเรียนถูกปิด ยกเว้นธุรกิจที่ให้บริการจำเป็นอย่างอาหารและของชำที่ยังเปิดให้บริการ แต่ล่าสุดผู้นำสิงคโปร์ระบุว่า จะมีที่ทำงานมากขึ้นที่ต้องปิดเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อในชุมชนให้น้อยที่สุด โดยทางการยังพยายามที่จะลดจำนวนประชาชนที่ต้องเดินทางไปกลับเพื่อทำงานในแต่ละวันลงจากร้อยละ 20 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 15 อีกด้วย