ไม่พบผลการค้นหา
การลงทุนภาครัฐกระตุ้นจีดีพีสหรัฐฯ ขณะการใช้จ่ายภาคประชาชนและการลงทุนภาคเอกชนหดตัว

ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (26 เมษายน) ที่ผ่านมา โตที่ราวร้อยละ 3.2 ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาให้ความเห็นว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคากการณ์ของรัฐบาล อีกทั้งตัวเลขนี้ยังสูงกว่าการคาดการณ์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 2.3 เท่านั้น

สำนักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานว่าตัวเลขจีดีพีที่สูงกว่าการคาดการณ์มาจากปัจจัยด้านการลงทุนของรัฐบาล การนำเข้าที่ชะลอตัว และ การค้าปลีกที่อยู่ในแนวโน้มที่ดี

ภัยเงียบในตัวเลข 'ร้อยละ 3.2'

ปัจจัยสำคัญที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือการใช้จ่ายภาคประชาชนซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในเศรษฐกิจเติบโตเหนือการคาดการณ์เพียงร้อยละ 1.2 เท่านั้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนแทบไม่ขยับ

ไมเคิล เกเพน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบาร์เคลย์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนข้ามชาติ ชี้ว่า แม้ตัวเลข 3.2 จะเป็น "ตัวเลขที่ดี" แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนให้สูงขึ้นหากต้องการให้เศรษฐกิจอยู่ในทิศทางการขยายตัว


"เราคิดว่ามัน (การใช้จ่ายภาคประชาชน) จะดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นว่าจะดี" เกเพน กล่าว


ขณะที่สงครามการค้ากับจีนยังคงมีผลกระทบต่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสหรัฐฯเช่นเดียวกัน ทิฟฟานี ไวด์ดิง นักเศรษฐศาสตร์จากพิมโค (PIMCO) เผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันกระตุ้นให้นักธุรกิจอเมริกันกักตุนสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลดีในระยะสั้นต่อจีดีพี แต่หมายถึงภาระที่ต้องจัดการในไตรมาสต่อๆ ไป 

ทิฟฟานี ย้ำว่า พิมโค บริษัทจัดการการลงทุน ยังมองว่า จีดีพี ที่แท้จริงของสหรัฐฯในปีนี้อยู่ที่เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น

อ้างอิง; Bloomberg, Fortune, CNN