วันที่ 6 ก.พ. ที่อาคารรัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกแกนนำพรรคอนาคตใหม่ กรณีเข้าร่วมการชุมนุมที่สกายวอล์ค เมื่อปี 2562 ซึ่งอาจเป็นผลให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะไม่สามารถดำรงสถานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลได้ ตามมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญ
พริษฐ์ ได้ให้ความเห็นต่อเนื้อหาคำพิพากษาเมื่อวานนี้ โดยเผยว่า ทางผู้ที่ถูกฟ้องร้องได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาล โดยตั้งข้อสังเกตถีงความคงเส้นคงวาของการใช้ พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ โดยเฉพาะการวัดรัศมี 150 เมตรจะเริ่มวัดจากจุดใด ซึ่งมองว่าควรมีมาตรฐานเดียวกันในทุกกรณี นอกจากนี้ยังจะต่อสู้เรื่องความได้สัดส่วนของโทษ ว่าควรสูงถึงขั้นจำคุก 4 เดือนเลยหรือไม่ หากมีความผิดจริง
สำหรับผลกระทบต่อสถานะทางการเมืองของ พิธา และบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้น ต้องย้ำในหลักการว่าเมื่อมีการยื่นอุทธรณ์ออกไป พิธา ก็จะไม่หลุดจากสถานะ สส. ตามมาตรา 6 ที่ระบุว่าหากถูกพิพากษาจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้ว และหากการอุทธรณ์สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ก็จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อสถานะทางการเมือง
ขณะที่หลายส่วนวิเคราะห์ว่าคำพิพากษาอาจเป็นผลให้ พิธา ไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ตลอดชีวิต ตนมองว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในมาตรา 160 (7) ใช้คำว่ารัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้พิพากษาให้จำคุก แม้ว่าคดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด หรือรอการลงโทษ ทำให้ตนมองว่าข้อความนั้นไม่ได้พูดถึงผู้ที่เคยถูกคำพิพากษาให้จำคุก ซึ่งข้อความสำคัญที่ไม่ได้อยู่ในมาตรานี้คือคำว่า ‘เคย’ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับมาตรา 98 ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามของผู้ลงสมัคร สส. โดยเฉพาะ (9) ที่มีคำว่า ‘เคย’ ระบุไว้อย่างชัดเจน จึงตีความได้ว่า หากพ้นโทษในกรณีนั้นมาแล้วก็จะสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี รวมถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้
ส่วนถ้ามีความเห็นที่แตกต่างกันมาก จำเป็นต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ พริษฐ์ ย้ำว่า จากที่อ่านข้อความก็ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ และเชื่อว่าหากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็สามารถอธิบายตามหลักการและเหตุผลได้