นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงผลการหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรคเกี่ยวกับการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโรคโควิด-19 ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในวันที่ 27 พ.ค.ว่า สำหรับกรณีของพ.ร.ก.กู้เงินดังกล่าว ฝ่ายค้านเห็นด้วยเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่รายละเอียดเกี่ยวกับใช้เงินส่วนนี้ยังขาดความชัดเจน ทำให้ฝ่ายค้านต้องสอบถามรัฐบาลว่าจะใช้เงินอย่างไร ซึ่งกังวลว่าอาจเกิดการทุจริตขึ้น
โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การบริหารงบนั้นให้อำนาจ รมว.คลังมากเกินไป จึงเห็นว่าหากเกิดความเสียหายในอนาคต นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้ามารับผิดชอบ ไม่ใช่มอบหมายให้ รมว.คลังเพียงฝ่ายเดียว
ขณะเดียวกัน ในการดูแลเม็ดเงินรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดประกอบด้วยข้าราชการและบุคคลที่นายกฯ แต่งตั้ง ซึ่งเรามีความคิดเห็นว่าด้วยเหตุนี้ควรมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบการใช้เงิน ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอเข้าสภาฯแล้ว แต่กังวลว่าจะมีความล่าช้า จนไม่สามารถตั้งคณะกรรมาการวิสามัญได้
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การกู้เงินครั้งนี้เรายอมรับว่ามีความจำเป็นเพื่ออนาคต แต่ต้องเป็นงบประมาณเพื่อปฏิรูปประเทศและสร้างความเท่าเทียมกัน ปัญหาโควิด-19 เหมือนเป็นจุดตัดแห่งยุคสมัยของประเทศไทย เหมือนกับวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือ Great Depression สถานการณ์โควิดเป็นวิกฤตที่คนได้รับผลกระทบกว้างสุดและทรุดลึกและต้องใช้งบประมาณและประชาชนทุกข์มากที่สุด ดังนั้น กลไกของรัฐสภาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทรุดไปอีกนานเพียงใด การให้เวลาสภาพิจารณาเพียงแค่ 3 วันนั้นจึงไม่เหมาะสม และคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมเท่ากับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อให้ส.ส.สะท้อนถึงมาตรการของรัฐบาลที่ดำเนินการอยู่
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุว่าต้องไม่ใช้เงินกู้ไปเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม และอยากให้รัฐบาลขยายระบบการตรวจสอบให้กว้างมากขึ้นไม่ใช่แค่ให้คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาดำเนินการเท่านั้น โดยควรให้สภาฯ มีสิทธิตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย รัฐบาลควรชี้แจงมาตรการต่างๆให้รายละเอียดและต้องให้เกิดความโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า นายกฯ ของประเทศไม่เคยปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 47 บัญญัติว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายบุคคลควรได้รับการป้องกันและรักษาโรคระบาดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเมื่อเกิดการแพร่ระบาดโควิด รัฐบาลต้องป้องกันโรคและให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาฟรี โดยเฉพาะการเข้าถึงหน้ากากอนามัย แต่คนของรัฐบาลกลับไปทำผิดเสียเอง หรือบางคนเข้าไปตรวจโควิด-19 ก็ถูกโรงพยาบาลขูดรีดและฉวยโอกาสเก็บค่าใช้จ่าย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลออกมาตรการต่างๆ ขึ้นมาแล้วไปกระทบประชาชน ก็ต้องเยียวยาให้กับประชาชน แต่รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการเพื่อประชาชน ซึ่งปัญหามาจากการบริหารงบประมาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ถูกต้อง เช่น การซื้ออาวุธ ซึ่งไม่มีความจำเป็น เมื่อถึงเวลาจะใช้เงินก็ไม่มีเงิน ทำให้ต้องออกกฎหมายเงินกู้ อย่างไรก็ตาม แม้เห็นด้วยกับการช่วยเหลือประชาชน แต่จะให้ไปร่วมกับคนที่ทำผิดกฎหมายไม่ได้ นี่คือจุดยืนพรรคเสรีรวมไทย
ส่วน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า การพิจารณาพระราชกำหนดต้องพิจารณาทีละฉบับเท่านั้น ไม่ควรพิจารณารวมไปในคราวเดียวกัน เพราะพระราชกำหนดที่เสนอเข้ามานั้นมีหลักการและเหตุผลต่างกัน นอกจากนี้ พวกเราไม่ได้คัดค้านเรื่องการกู้เงิน แต่เราไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการเยียวยาของรัฐบาลที่ล่าช้าที่ไปสร้างผลกระทบให้กับประชาชน
พร้อมย้ำว่า อย่าไปคิดเรื่องเงินทอนในยามที่ประชาชนเดือดร้อน แต่ต้องดำเนินการด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะเป็นเจ้าของเงิน