เมื่อ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน สี จิ้นผิง ได้ข้อตกลงในการสงบศึกสงคราการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ในงานประชุม G20 ที่กรุงบูเอสโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในข้อตกลงนี้ สหรัฐฯยินยอมที่จะไม่ขึ้นภาษีจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 ต่อสินค้าจีนมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 65 ล้านล้านบาท) ในวันที่ 1 ม.ค. 2562 ในขณะที่จีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรกรรม, อุตสาหกรรม และ สินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ "ในปริมาณมาก"
แม้การตกลงพักรบครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าลงไปได้บ้าง แต่ความขัดแย้งของรายละเอียดข้อตกลงระหว่างจีนและสหรัฐฯสร้างความกังวลให้กับเหล่าผู้จับตามองสถานการณ์สงครามการค้าไม่น้อย
จีนตกลงอะไรกับสหรัฐฯ
ท่ามกลางประเด็นที่หลากหลายที่มีการพูดคุยระหว่างการเจรจา ประเด็นสำคัญที่จีนสัญญากับสหรัฐฯ คือ เรื่องการขาดดุลการค้าขอสหรัฐฯต่อจีน จีนสัญญาว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรกรรม, พลังงาน, อุตสาหกรรม และอื่นๆ "ในปริมาณมาก" แต่ยังไม่ได้มีการตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะเป็นสินค้าประเภทไหนในจำนวนเท่าไหร่ นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศ ยังตกลงที่จะเริ่มมีการเจรจาทันทีเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่เกี่ยวกับ การบังคับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การคุ้มครองสิทธิของทรัพย์สินทางปัญญา มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษีนำเข้ารูปแบบต่างๆ และการโจรกรรมทางโลกไซเบอร์ เพื่อแลกกับการยื่นเวลาการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วัน
ความสับสนสะท้อนในตลาดเอเชีย
หลังจากมีการพูดคุยกันที่งานประชุม G-20 ทรัมป์ได้ออกมาทวีตข้อความกล่าวถึงรายละเอียดของการเจรจา แต่ข้อมูลที่ทรัมป์ทวีตกลับไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่รัฐบาลออกมาบอก ในขณะที่รัฐบาลจีนก็สงวนท่าทีไม่แสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น ส่งผลให้หลายฝ่ายกำลังตกอยู่ในความสับสนว่าการเจรจาที่ผ่านมานั้นประสบความสำเร็จในการยุติสงครามการค้าที่ทำร้ายเศรษฐกิจทั่วโลกจนบอบช้ำจริงหรือไม่
ทรัมป์ได้ทวีตข้อความเกี่ยวกับรายละเอียดของการเจรจา โดยกล่าวว่า จีนจะต้องดำเนินการเรื่องการซื้อสินค้าเกษตรกรรมและประเภทอื่นๆทันที
ด้านนายหวาง ยี่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวกับนักข่าวว่า "ข้อตกลงหลักช่วยป้องกันไม่ให้มีการขยายตัวของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ" จีนสัญญาว่าจะดำเนินการตามข้อตกลงที่คุยกันไว้กับสหรัฐฯ "ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" แต่ไม่ได้ตอบรับคำกล่าวอ้างจากสหรัฐฯว่าจะเกิดขึ้น "ทันที"
ในขณะที่จีนสงวนท่าทีและแทบไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาใดๆเลย ทรัมป์กลับทวีตข้อความเกี่ยวกับการเจรจาที่เหมือนจะเป็นการสร้างความสับสนมากกว่าความมั่นใจให้กับผู้เฝ้าระวังสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสองประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทรัมป์ทวีตข้อความว่า "ประธานธิบดีสี และ ผมต้องการให้เกิดข้อตกลง และมันน่าจะเกิดขึ้น แต่ถ้ามันไม่เกิดขึ้น จำไว้ ผมคือมนุษย์ภาษี" พร้อมทวีตเพิ่มว่า "เวลามีใครหรือประเทศไหนเข้ามาปล้นความมั่งคั่งจากประเทศของเรา ผมต้องการให้พวกเขาจ่ายค่าอภิสิทธิ์��ิเศษในการทำอย่างนั้น"
นอกเหนือจากความเสี่ยงขนาดมหึมาจากสงครามการค้า นักลงทุนยังกังวลกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯหลังจากความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยของ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา 2 ปี และ 10 ปี แคบลง มีความกลัวเกี่ยวกับ "ความผกผัน" ที่นักลงทุนกังวลว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะแซงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งเป็นต้อตอให้เกิดการตกต่ำทางเศรษฐกิจในอดีต
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กหรือตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้รับผลกระทบจากความกลัวนี้ส่งผลให้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ตกลงร้อยละ 3.1, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ตกลงร้อยละ 3.2 และดัชนีแนสแด็กตกลงร้อยละ 3.8 ตลาดในเอเชียอ่อนลงในทิศทางเดียวกัน ตลาดหุ้นในฮ่องกงหดตัวต่ำลงร้อยละ 1.6 ในขณะที่เซี่ยงไฮ้หดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.8 ปิดท้ายด้วยตลาดหุ้นโตเกียวปิดตัวเช้านี้ร่วงไปร้อยละ 0.4
อ้างอิง; BBC, AFP