ไม่พบผลการค้นหา
'ประชาธิปัตย์' ย้ำจุดยืนแก้รัฐธรรมนูญไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เผย สสร. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในแต่ละจังหวัดจำนวน 150 คน ส่วนอีก 50 คน จะผสมผสานผู้มีประสบการณ์

วันที่ 3 ก.พ. 2567 ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และสภาร่างรัฐธรรมนูญว่าพรรคมีจุดยืนในเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญชัดเจนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นภายใต้ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่สำคัญในฐานะสถาบันทางการเมืองเห็นมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังไม่สมบูรณ์ตามระบบประชาธิปไตย การลิดรอนสิทธิ์ของพี่น้องประชาชนในเรื่องที่เป็นสาระสำคัญ

"ยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมสิทธิชุมชนสิทธิคุ้มครองผู้บริโภคสิทธิที่ดินทำกิน กระบวนการถ่วงดุลในเรื่องป้องกันและปราบปรามการทุจริตการกระจายอำนาจและที่สำคัญคือโครงสร้าง การเข้าสู่อำนาจทั้งของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

ราเมศกล่าวต่อไปว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรกที่เสนอแนวคิดให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ง่ายขึ้น และมีอีกหลายประเด็นที่เป็นประเด็นปัญหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกระบวนการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงจะต้องมีขึ้นโดยผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยจะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในหมวดหนึ่งและหมวดสอง 

ในส่วนของสภาร่างรัฐธรรมนูญพรรคมีจุดยืนชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรกคือให้มี สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 200 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในแต่ละจังหวัดจำนวน 150 คน ส่วนอีก 50 คน จะผสมผสานผู้มีประสบการณ์เช่น สสร. ที่มาจากการเลือกของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชนสาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 10 คน ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมืองการบริหารราชการแผ่นดินหรือการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 คน สมาชิกซึ่งรัฐสภาคัดเลือก จำนวน 20 คน และในส่วนของพรรคให้ความสำคัญกับนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่จะมีกระบวนการสมัครเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเลือกเป็น จำนวน 10 คน และเพื่อให้มีส่วนร่วมกันทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่มีความอาวุโสโดยกำหนดให้มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ เป็นระบบผสมที่จำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญบางส่วนในการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและให้ความสำคัญกับประชาชนที่มีความสนใจในทุกจังหวัดให้มีการเลือกตั้ง สสร แต่ละจังหวัดตามสัดส่วนของจำนวนประชากร

ราเมศกล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของความเห็นคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนสภาผู้แทนราษฎรได้รายงานผลการพิจารณาศึกษาในเรื่องระบบเลือกตั้งและแนวทางการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลการศึกษาที่อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการในการพิจารณาในรัฐสภา การถกเถียงเพื่อให้เป็นข้อตกลงที่ตกผลึกเพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แล้วก็เชื่อเช่นกันว่าหากทุกพรรคการเมืองเล็งเห็นถึงการแก้รัฐธรรมนูญที่ทำให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ก็ไม่เป็นการยากที่จะมีการพูดคุยกัน

"ในส่วนของการดำเนินการของรัฐบาลประชาชนคงสิ้นหวัง เพราะผ่านระยะเวลายาวนานแต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะต้องมีแนวคิดและจุดยืนที่ชัดเจนถ้าจะตั้งขึ้นเพื่อถ่วงเวลากระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบในฐานะที่เคยให้สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้" ราเมศกล่าวในตอนท้าย