ไม่พบผลการค้นหา
‘ชุมสาย’ จวกขาประจำยื่นยุบ 'เพื่อไทย' ชี้กระเป๋าเงินดิจิทัล เป็นนโยบายพรรคไม่ใช่ความผิดที่มีโทษ เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง ติง กกต.รับลูกเร็ว ทำสังคมกังขา

ชุมสาย ศรียาภัย รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นร้อง กกต.ว่าพรรคเพื่อไทยออกนโยบายเรื่องกระเป๋าเงินดิจิทัลอาจมีความผิด ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 73 (5 ) ว่าเป็นการหลอกลวงหรือจูงใจ ให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของ พรรคการเมือง และซึ่ง กกต.ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เร่งศึกษานโยบายหาเสียงที่พรรคต่างๆส่งมา หากมีความผิดจะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ทำการยุบพรรค นั้น เรื่องนี้ตนเห็นว่า นโยบายพรรคการเมืองคือแบบแผนความคิดที่ใช้เป็นหลักยึดในการตัดสินใจบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่การกระทำใดๆ ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ฯ ตามมาตรา 73(5) ที่ต้องถูกผูกพันด้วยหลักการแห่งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของพรรคตามบทกฎหมายได้ 

ดังนั้น หากพรรคการเมืองดำเนินนโยบายผิดพลาด บกพร่องพรรคการเมือง ย่อมมีความรับผิดชอบทางการเมืองต่อประชาชนอยู่แล้ว การที่พรรคการเมืองคิดนโยบาย เป็นเรื่องที่ได้ศึกษา ประเมิน และมีความมั่นใจว่าสามารถทำตามนโยบาย ได้ แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็รับผิดชอบไป ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจสนับสนุนของประชาชน ไม่ใช่เรื่องการกระทำความผิดที่จะมีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมือง 

ทั้งนี้ นโยบายต่างๆที่พรรคการเมืองทุกพรรค ได้คิดและประกาศว่าจะใช้บริหารประเทศที่มีผลถึงประชาชนนั้น ไม่ได้เป็นการเสนอให้ประโยชน์ต่างตอบแทนให้กับปัจเจกบุคคลว่าหากเลือกพรรคเพื่อไทยแล้ว คุณจะได้ประโยชน์นั้นๆ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนในประเทศได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด หากนโยบายได้รับการผลักดันไปสู่การปฏิบัติและมีผลสำเร็จ คนที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้ประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์สาธารณะ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังจากเศรษฐกิจซบเซาจากความล้มเหลวในการบริหารของรัฐบาลชุดก่อน การหยิบประเด็นเรื่องนโยบายพรรคการเมืองซึ่งได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญมาเชื่อมโยงกับกฎหมายลูกในระดับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งมีลำดับศักดิ์กฎหมายต่ำกว่าและ มีเจตนารมณ์และความมุ่งหมายแตกต่างกันกับผู้กระทำผิดในลักษณะปัจเจกบุคคล ถือเป็นการ บังคับใช้กฎหมายผิดเพี้ยนไปจากเจตนารมณ์มาก

ชุมสาย กล่าวอีกว่า กฎหมายดังกล่าวคลอดในรัฐบาล คสช.และให้อำนาจ กกต.มากเกินจำเป็น แม้ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรมีอำนาจยุบพรรคด้วยเหตุนี้ การสร้างกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ เป็นการทำลายสถาบัน ทางการเมือง ซึ่งเป็นเจตจำนงของประชาชนโดยแท้ ทำให้การเมืองอ่อนแอ เปิดทางให้อำนาจพิเศษอื่นแทรกแซงได้ นโยบายของพรรคการเมือง ในฐานะเป็นศูนย์รวมเจตจำนงของประชาชน เพื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลบริหารประเทศหากต้องขึ้นอยู่ภายใต้อำนาจ กกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ อยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาล โดยให้มีอำนาจยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคได้ นี่คือความผิดเพี้ยนขนานใหญ่ หากผู้มีอำนาจสามารถครอบงำองค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญได้ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามจะตกอยู่ในอันตรายทันที อย่างไรก็ดีตนเห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวควรต้องถูกแก้ไขในรัฐบาลหน้า

  “พรรคการเมืองที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก่อนเข้าบริหารประเทศต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นสถาบันตัวแทนของประชาชน จึงมีความเชื่อมโยงกับฉันทานุมัติของประชาชนอยู่แล้ว ดังนั้น นโยบายอาจผิดพลาดได้ แต่ไม่ใช่เรื่องการผิดกฎหมาย นโยบายของรัฐบาลชุดก่อนที่ประกาศและอยู่จนครบเทอม และซึ่งก็ทำไม่ได้ ไม่เห็นมีใครหาเหตุยื่นยุบพรรค พอเป็นพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายออกมา ยังไม่ทันได้ทำงาน ขาประจำออกมาประสานเสียงยื่นยุบพรรคทันที กกต.ก็ขยันต่อเนื่อง ทำสิ่งที่สังคมกังขาก็หลายเรื่อง เรื่องควรทำไม่ทำก็ไปรอวิบากกรรม ก็แล้วกัน” ชุมสาย กล่าว