หลังจากมีกระแสว่า มีนายตำรวจยศ พล.ต.ต. พยายามแทรกแซงหนึ่งในเหยื่อคดีของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกล่าวหาว่า ทำอนาจารและข่มขืนหลายคดี ล่าสุดทนายษิทรา ยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ตรวจสอบนายตำรวจคนดังกล่าว
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ นำหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ช่วยตรวจสอบกรณีที่นายตำรวจ พล.ต.ต ที่อ้างว่าเป็นญาติของเหยื่ออายุ 18 ปี พยายามเข้ามาแทรกแซงคดี ลักษณะที่ยินยอมให้เหยื่อให้ความร่วมมือกับตนเองในฐานะทนายความ
ทนายษิทรา เผยว่า ตนเองต้องการให้ทางตำรวจตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือของแม่เหยื่อในช่วงวันเกิดเหตุ 11 เม.ย.ถึงปัจจุบัน ว่ามีการต่อสายพูดคุยกับนายตำรวจยศใหญ่คนนี้ โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ใด และตรวจสอบการใช้ข้อมูลโทรศัพท์มือถือของนายตำรวจด้วยว่ามีการติดต่อกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือไม่ เพราะอาจเป็นการแทรกแซงคดี จากข้อมูลที่ตนเองได้รับมาทราบว่านายตำรวจคนนี้เป็นตำรวจนอกราชการที่เกษียณแล้ว อดีตเคยเป็นผู้บังคับการจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออก
สาเหตุที่ทำให้ตนเองมีข้อสงสัยว่านายตำรวจมีส่วนเข้ามาแทรกแซงคดี เนื่องจากช่วงวันที่ 13 เม.ย.ได้รับข้อมูลจากเหยื่อว่าหลังเกิดเหตุได้ติดต่อพูดคุยกับนายตำรวจยศใหญ่คนนี้ตลอดเวลา ซึ่งช่วงหลังที่ตนเองแนะนำเรื่องการดำเนินคดีมักไม่ได้ความร่วมมือ โดยอ้างว่าขอปรึกษานายตำรวจคนนี้และท้ายที่สุดก็ไม่ทำตามที่แนะนำ เช่นการให้ยืนคัดค้านการประกันตัว ปริญญ์ครั้งที่ผ่านมา
ส่วนความสัมพันธ์ของเหยื่อกับนายตำรวจท่านนี้มีการกล่าวอ้างว่าเป็นลุงของเหยื่อ แต่ตนเองคาดว่าเป็นแค่การนับถือกันที่ใช่ญาติแท้ๆ ตนเองจึงเข้ามายืนหนังสือเนื่องจากกังวลว่าจะมีการแทรกแซงคดี แม้ว่าตอนนี้ทางเหยื่อจะยังไม่กลับคำให้การหรือถอนแจ้งความ แต่หากไปถึงชั้นอัยการอาจมีการขอให้สอบเพิ่มเติม จนนำไปสู่ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี ยืนยันว่าเหยื่อ 15 รายที่เข้าแจ้งความตำรวจก่อนหน้านี้ ยังเป็นพยานที่มีน้ำหนัก แต่ตนเองกังวลว่าผู้เสียหายที่ติดต่อเข้ามาหลังจากนี้อาจมีการแฝงตัว เพื่อโยงเกมการเมืองจึงต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนเข้าช่วยเหลือ
ทนายษิทรา ยังเผยอีกว่า ส่วนตัวตนเองไม่กังวลเรื่องการถูกฟ้องกลับเนื่องจากที่ผ่านมาในการให้ข่าวไม่ได้มีการพูดพาดพิงถึงชื่อหรือพรรคการเมืองใด
เมื่อถามว่าหากมีการเตือนเรื่องช่วยคดีและขอให้หยุดช่วยเหยื่อจะทำอย่างไร ทนายษิทราบอกว่า สำหรับคดีนี้ถือเป็นคดีที่มีผู้เสียหายจำนวนมากไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง รวมถึงมองว่าเป็นภัยสังคมที่ตนเองต้องเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อป้องกันการมีเหยื่อเพิ่มมากขึ้น
สำหรับผู้เสียหายรายใหม่ที่เคยมีข่าวถูกล่วงละเมิดที่ประเทศอังกฤษในขณะนี้ได้เข้ามาเป็นผู้เสียหายเพิ่มเติมรายที่ 16 ซึ่งตนเองได้ประสานคนที่สามารถช่วยดำเนินคดีให้เหยื่อรายนี้ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ซึ่งหากสามารถรวบรวมหลักฐานในวันเกิดเหตุได้ครบ เช่น เสื้อผ้า และกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ ก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที เนื่องจากสภาพจิตใจของผู้เสียหายดีขึ้นมากแล้ว
สำหรับผู้เสียหายรายที่ 16 นี้ จากข้อมูลพบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้น 19 ปีที่แล้วขณะที่ผู้เสียหายอายุ 25 ปีและกำลังศึกษาต่ออยู่ชั้นปริญญาโท ที่ประเทศอังกฤษ ก่อนเจอกลับนักการเมืองคนดังกล่าว ที่ขณะนั้นทำงานให้ธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ก่อนจะมีการพูดคุยกับเหยื่อโดยอ้างว่าสามารถพาเข้าทำงานได้ในธนาคารดังกล่าว หลังจากนั้นได้ล่อลวงไปที่อพาร์ทเมนท์ของผู้ก่อเหตุ ก่อนข่มขืน ซึ่งหลังเกิดเหตุทางผู้เสียหายได้ดำเนินคดีที่ประเทศอังกฤษทันทีซึ่งขณะนี้คดียังไม่ถูกตัดสิน หลังจากเกิดเหตุมีหญิงไทยที่ทำงานในสถานทูตติดต่อไปยังผู้เสียหายขอให้อย่าดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ทำให้สภาพจิตใจของผู้เสียหายย่ำแย่
ส่วนการดำเนินคดีของตำรวจตนเองไม่มีความกังวลเพราะพยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนหากหลังจากนี้ผู้เสียหายจะแถลงต่อศาลไม่เอาโทษตนเองก็ไม่กังวลเนื่องจากคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้