พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงสถานการณ์ระเบิดเกือบ 20 จุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวข้องกับการอยู่ในช่วงท้ายของรัฐบาลหรือเป็นการทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ ว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการชี้แจงจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ สมช.ได้ดูใน 4-5 มิติ รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการสั่งการเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกันวานนี้ ตนได้มีการประชุมหน่วยข่าวในพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อรับฟังปัญหาและและมอบหมายแนวทางที่นายกฯ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านความมั่นคง ได้สั่งการโดยสิ่งที่ต้องทำเป็นการเร่งด่วนคือการยกระดับมาตรการป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย และเศรษฐกิจในพื้นที่ โดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสิ่งที่จะทำต่อไปคือการสืบสวนสอบสวนให้ได้มาซึ่งผู้ก่อเหตุที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างรวดเร็ว ยุติธรรมและเป็นไปตามขั้นตอน นอกจากนี้ยังต้องมีการปรับระบบการทำงานที่สำคัญในเรื่องของความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ มาตรการในการรักษาความสงบ การเดินหน้าทำความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีกมิติคือ การสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น และพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ พล.อ.สุพจน์ ยอมรับว่า มีการข่าวในการก่อเหตุมาอยู่แล้ว แต่ในการก่อเหตุครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนผู้ดำเนินการ ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ขอให้รอฟังผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ซึ่งตนคาดว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นกลุ่มเดิมที่เคยทำอยู่
ส่วนที่หลายฝ่ายมีความพยายามเชื่อมโยงกับการเมือง พล.อ.สุพจน์ ระบุว่า ตนคิดว่ามีหลายมิติที่ต้องดู การแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ การเมืองก็คือบริบทที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะฉะนั้นก็จะดำเนินการคู่ขนานกับการใช้กำลังที่ก่อเหตุรุนแรงด้วยเหตุผลได้เหตุผลหนึ่ง ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน พร้อมเชื่อว่าครั้งนี้เป็นการดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายเปราะบางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งพื้นที่ก่อเหตุเป็นพื้นที่ที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวันเช่นร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมัน รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลนั้นให้ความสำคัญและจะเร่งดำเนินการแก้ไข
ส่วนมีการประเมินหรือไม่ว่าการก่อเหตุดังกล่าวเหตุใดจึงเกิดขึ้นในช่วงปลายปี พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า เป็นจังหวะของเหตุการณ์เพราะหากติดตามการเจรจาพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้มีความคืบหน้า มีการพูดคุยกันบ่อยขึ้น และครอบคลุมในทุกมิติ แต่กลุ่มที่เข้ามามีส่วนร่วมของปัญหาก็จะมีความต้องการแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องการตอบสนองของประเทศให้พื้นทึ่มีความสงบ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้พหุสังคมวัฒนธรรม มีเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ต้องหาวิธีการผสมผสานและปรับวิธีการไปเรื่อยๆ ความต้องการของตัวเองเพื่อให้แต่ละฝ่ายนั้นบรรลุวัตถุประสงค์
เมื่อถามย้ำว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับ ช่วงการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณปี 66 ด้วยหรือไม่นั้น พล.อ.สุพจน์ มองว่า ไม่น่าจะ หากดูจากแผนงานโครงการที่เข้าไปทำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือว่ารัฐบาลมีความตั้งใจอย่างมากที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีอาชีพ มีงานทำ และมีการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกระดับ เพื่อให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันได้และมีความเจริญ
ทั้งนี้ พล.อ.สุพจน์ ปฏิเสธการตอบคำถาม ถึงกรณีแง่ของความมั่นคงได้มีการเตรียมการ เรื่องวาระ 8 ปีของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้อง
ส่วนที่นักวิชาการออกมาระบุให้ฝ่ายความมั่นคงระวังเรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคนั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ตนในฐานะที่วิเคราะห์ภัยคุกคามต้องดูในทุกมิติ ทั้งภัยที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ
พล.อ.สุพจน์ เปิดเผยว่า การประชุม ศบค.วันพรุ่งนี้จะมีการพิจารณาข้อเสนอของ กระทรวงสาธารณสุข ที่จะกำหนดกรอบแนวทางโรคโควิด-19 เป็นโรคที่จะต้องเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้ เพราะที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 เป็นอำนาจของ ศบค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ส่วนเมื่อประกาศเป็นโรคเฝ้าระวังแล้วจะยุบ ศบค.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งจะต้องประเมินสถานการณ์ว่าจำเป็นจะต้องใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่
ส่วนข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการขยายเวลา การเปิดผับจนถึงเวลาตี 4 นั้น ขึ้นอยู่กับในส่วนของมหาดไทยจะไปพิจารณา ที่ผ่านมา ศบค.พิจารณา จนสุดทางแล้ว แต่ ศบค.จะให้ข้อกังวล หากเปิดแล้วจะมีผลกระทบกับกับประชาชนในการป้องกันโควิดหรือไม่
เมื่อถามว่า ขณะนี้ สถานการณ์โควิดคลี่คลายลงแล้ว ยังจำเป็นต้องใช้กฎหมายฉุกเฉินหรือไม่นั้น เลขา สมช. เห็นว่า ขณะนี้ยังมีความจำเป็นใช้ เพราะจะต้องกำกับควบคุมคนเดินทางเข้าออกประเทศ และห้ามในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะก่อเกิดให้เกิดโรคระบาด
ขณะเดียวกันแม้ดูเหมือนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่มาตรการในการรองรับทั้งการรักษาพยาบาล การกระจายยา การดูแลรักษาตนเองของผู้ป่วย ที่ประชาชนดำเนินการอยู่เป็นไปในทิศทางที่ดี
ซึ่งการพิจารณาในที่ประชุม ศบค.ในวันพรุ่งนี้ จะเน้นไปที่แผนกระจายยา ที่ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกระจายไปยังโรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเวชกรรมแล้ว ต่อไปก็จะขยายไปยังร้านขายยาชั้นหนึ่งให้จำหน่ายยาได้ ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ และให้ผุ้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เตรียมแผนนำไปสู่การประกาศเป็นโรคเฝ้าระวัง และรองรับการประกาศเป็นโรคประจำถิ่น ที่สำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดใหญ่ที่จะต้องบูรณาการ กับจังหวัดปริมณฑล
นอกจากนี้ที่ประชุมยังจะพิจารณาถึงการเปิดด่านชายแดนหลังจากที่มีการผ่อนคลายเปิดไปแล้วหนึ่งเดือนผ่านมา รวมถึงรับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยว