จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุวุ่นวายมีการปะทะกันระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมต่อต้านเจ้าอาวาสวัดบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร การเจรจาของฝ่ายทางราชการที่จะนำพระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสเข้าวัดบางคลานกับฝ่ายชาวบ้านที่รวมตัวอยู่ภายในวัด โดยฝ่ายชาวบ้านยืนกรานไม่ยอมให้เข้าไปภายในวัดทางฝ่ายราชการที่มี สุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอโพทะเลที่รับคำสั่งมาจาก พยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร สั่งใช้กำลังตัดประตูวัดเพื่อที่เข้าจะไปแต่ชาวบ้านยังรวมตัวตรึงกำลังอยู่ภายในบริเวณวัด
จากนั้นกองรักษาความสงบสนธิกำลังกับ ส.ห.จาก มทบ.36 จ.เพชรบูรณ์ และ อ.ส.จากฝ่ายปกครองเป็นกำลังหลักเกือบ 200 นาย การเจรจาไม่เป็นผล ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ใช้กรรไกรตัดเหล็กพยายามตัดโซ่เพื่อเปิดประตูวัดเข้าไปพร้อมทั้งระดมรถดับเพลิงฉีดน้ำใส่ชาวบ้านเพื่อจะสลายการต่อต้าน ฝ่ายชาวบ้านที่อยู่ด้านในวัดได้ป้องกันตัวเองด้วยการตอบโต้ด้วยการฉีดน้ำเข้าใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่พร้อมกับใช้หนังสะติ๊ก อาวุธโบราณระดมยิงกระสุนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ที่ใช้โล่ปราบจราจลบัง และต้องถอยร่นไม่เป็นขบวน จนกระทั่ง เวลา 14.30 น. วันเดียวกัน สุเมธ เมธารัตนาพัฒน์ นอภ.โพทะเล เห็นว่าเหตุการณ์จะบานปลาย ได้สั่งถอนกำลังทั้งหมดออกมาจากวัดบางคลาน ตามข่าวที่ได้เผยแพร่ตามสื่อหลายแขนง โดยทางฝ่ายราชการได้มีการใช้กฎหมายแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านฝ่ายต่อต้านเจ้าอาวาสที่อยู่ภายในวัดเกือบ 40 คน
ทั้งนี้ ประกอบ บุตรนุ้ย อายุ 71 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.บางคลาน เล่าให้ฟังว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ชาวบ้านฝากความหวังไว้กับท่าน ว่าจะได้รับความยุติธรรมกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ประชาชนที่ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุมาตั้งแต่ต้นผ่านมาฟังจากสื่อมวลชนที่เอนเอียงรับฟังข้อมูลด้านเดียวพยายามก็ยัดเยียดให้ชาวบ้านอย่างพวกเราเป็นผู้ร้าย ขอความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านบ้างว่าชาวบ้านตำบลบางคลานถูกรังแกทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายบ้านเมืองตั้งแต่ ปี 2557 เป็นต้นมา ตั้งแต่เจ้าคณะจังหวัดสั่งปลดพระครูวิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสโดยไม่มีความผิด แล้วยังตั้ง พระครูพิสุทธิวรากรณ์ พระจากตำบลอื่นมารักษาการเจ้าอาวาส แล้วชาวบ้านไม่ยอมรับจนทำให้เกิดความวุ่นวายจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นได้มีกลุ่มพุทธพาณิชย์เข้ามาทำมาหากินในวัดบางคลาน ทำให้กลุ่มชาวบ้านไม่ไว้วางใจจะให้เข้ามาดูแลทรัพย์สินของวัดบางคลานที่มีทั้งของเก่าแก่โดยเฉพาะงาช้างและพระพุทธรูปโบราณอายุเป็นร้อยปีตั้งแต่หลวงพ่อเงินมียังชีวิตอยู่มูลค่ามหาศาล
“ชาวบ้านพวกเรากลัวว่าพวกพุทธพาณิชย์ที่แฝงเข้ามาหากินกับวัดบางคลานจะมาสับเปลี่ยนเอาของเก่าแก่ไปจากวัดบางคลาน ทำให้ชาวบางคลานต้องมาหมุนเวียนนอนเฝ้าทรัพย์สมบัติของชาติเป็นเวลา 8-9 ปี ส่วนที่มีเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดมาจากฝั่งชาวบ้านที่รวมตัวกันปกป้องทรัพย์สินของชาติ แต่เกิดจากฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ร่วมมือกับพระครูพิสุทธิวรากรณ์ที่ชาวบ้านไม่เชื่อใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะเงินจากบัญชีวัดจำนวน 106 ล้านบาทที่มีการมอบเป็นทางการไปแล้วยังไม่มีการชี้แจงการใช้เงินเป็นที่เคลือบแคลงใจของชาวบ้าน แล้วยังเอาความได้เปรียบทางกฎหมายมาบีบบังคับกับชาวบ้านมีการแจ้งความจับชาวบ้านมาแล้วเป็นร้อยคดี แล้วใช้กำลังทั้งทหาร ตำรวจ อ.ส.เป็นร้อยๆคนเข้ามาพังประตูวัด ทำให้กลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในวัดในขณะนั้นต้องป้องกันตัวจนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพ่ายแพ้ไป เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อเงินที่ช่วยชาวบ้านที่บริสุทธิ์ใจที่ร่วมกันปกป้องทรัพย์สมบัติที่หลวงพ่อเงินและเจ้าอาวาสองค์ก่อนๆสะสมไว้ให้วัดบางคลาน”
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ฝ่ายตรงข้ามกับชาวบ้านอยากจะเข้ามาในวัดบางคลานในช่วงนี้ เป็นเพราะมีการเผยแพร่โพยการแบ่งเงินผลประโยชน์จากการจำหน่ายและจองพระของวัดจำนวนหลายรุ่นเป็นเงินหลายล้านบาท แบ่งเปอร์เซ็นต์เข้ากระเป๋าหัวโล้นหัวดำมีหลักฐานชัดเจน
นอกจากนี้เข้าใจว่าจะมีการเข้ามาทำลายหลักฐานต่างๆ ที่ทาง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และคณะกรรมการจากส่วนกลางเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สินของวัด โดยที่ชาวบ้านพร้อมและยินดีให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายของชาวบ้านทุกคนและเพื่อความเป็นธรรมขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของฝ่ายพระครูพิสุทธิวรากรณ์และไวยาวัจกรตลอดจนคนใกล้ชิดเพื่อความโปร่งใส และชาวบ้านอยากให้ทำเหมือนวัดห้วยด้วน จ.นครสวรรค์ ใครผิดจับให้หมดไม่ว่าฝั่งชาวบ้านหรือฝั่งพระและไวยากรวัดกรรมการวัด