การเที่ยวชมไร่องุ่นและมะกอกในอิตาลีดูจะเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาและใช้เวลาไม่นาน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งเริ่มหันมาสร้างบรรยากาศไร่ของตนให้น่าอยู่อาศัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้พักค้างคืน เพิ่มรายได้ และช่องทางจำหน่ายสินค้า
การจัดทัวร์เยี่ยมชม ชิม ชอป น้ำมันมะกอก และไร่องุ่นไวน์ เป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิตาลี แต่ด้วยการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทำให้หลายไร่มะกอกพยายามสร้างกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะค้างคืนภายในไร่ มากกว่าจะมาเยี่ยมชมเพียงไม่กี่ชั่วโมง
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจน้ำมันมะกอกอย่าง ลูแอนน์ ซาวีโน โอลาฟลิน ผู้จัดการร้านออนไลน์ Olio2Go ที่รวบรวมน้ำมันมะกอกชั้นดีจากอิตาลี กล่าวว่า การเยี่ยมชมไร่ผลิตน้ำมันมะกอกท้องถิ่นเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใช้เวลากับธรรมชาติ และซึมซับวัฒนธรรมอิตาลีไปในตัว โดยจุดเด่นของไร่เหล่านี้คือมีจำนวนห้องพักไม่มาก ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ทำให้ผู้มาเยือนสามารถพูดคุย ทำความรู้จัก หรือแม้แต่แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ผลิต เกษตรกร และผู้ปรุงอาหารประจำไร่นั้น ๆ ได้อีกด้วย
ตัวอย่างไร่มะกอกที่คอลัมนิสต์ท่องเที่ยวจาก The New York Times แนะนำ คือ Vittorio Cassini (วิตโตริโอ คาสซินี) ของครอบครัว คาสซินี ที่ตกทอกกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่นี่มีบ้านพักให้เช่าเพียง 3 หลังเท่านั้น แต่ละหลังมี 2 ถึง 4 ห้องนอน มีครัว และวิวไร่มะกอก นอกจากนี้ ยังมีสวนผักผลไม้ และสระว่ายน้ำบริการ ซึ่งผู้เข้าพักสามารถเลือกผลผลิตจากในไร่มาทำเป็นอาหารได้ตามชอบ ในราคาเริ่มต้นที่คืนละ 150 ดอลลาร์ หรือ 5,000 บาท
อีกที่หนึ่งคือ Azienda del Carmine (อาเซียนดา เดล การ์มีน) ที่มีห้องพัก 7 ห้อง อพาร์ตเมนต์ขนาด 3 ห้องนอนอีก 3 ห้อง ชูจุดเด่นคือให้ผู้มาพักช่วยทำน้ำมันมะกอก ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บจากต้น นอกจากนั้น ภายในบริเวณยังมีไร่องุ่น ให้แขกได้ทดลองชิมไวน์ด้วย เรียกว่า 1 ทริป ได้ชิมถึง 2 ผลิตภัณฑ์ ราคาเริ่มต้นที่ 92 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3,000 บาท
ด้าน Villa Della Torre Allegrini (วิลลา เดลลา ตอร์เร อัลเลกรินี) วิลลาของผู้ผลิตไวน์ดัง Marilisa Allegrini (มาริลิซา อัลเลกรินี) ก็เปิดให้ผู้เข้าพักเลือกจัดกิจกรรมที่ต้องการตั้งแต่ตอนเช็กอิน ไม่ว่าจะเป็นการชมไร่ ชิมไวน์ ชิมน้ำมันมะกอก นำผลิตภัณฑ์มาทำอาหาร เรียนจับคู่ผลิตภัณฑ์กับเมนูต่าง ๆ หรือจะทัวร์ด้วยจักรยาน หรือเรือ ในบริเวณโดยรอบ ราคาเริ่มต้นที่ 300 ยูโร หรือ 11,500 บาท
ที่ Feudi Di San Gregorio (เฟวดี ดิ ซาน เกรกอริโอ) มีฟาร์มเฮาส์อายุ 300 ปี อยู่ในไร่ โดยผู้มาพักจะมีครัวกลางที่ทุกคนใช้ร่วมกัน ซึ่งจะมีกาแฟ น้ำมันมะกอก ไวน์ และชีส ให้ใช้ไม่อั้น โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งหากผู้มาพักไม่อยากทำอาหารเอง ที่นี่ก็มี Marenna (มาเรนนา) ร้านอาหารมิชลินสตาร์ไว้บริการด้วย และถ้าใครอยากทำเมนูระดับมิชลินรับประทานเอง เชฟของที่นี่ก็ยังเปิดสอนด้วย ราคาเริ่มต้นที่คืนละ 100 ยูโร หรือ 3,850 บาท รวมอาหารเช้าระดับมิชลิน และกิจกรรมส่วนใหญ่ภายในบริเวณฟาร์มแล้ว
เมืองไทยเอง ก็มีการนำมะกอกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เช่นกัน โดยบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ศึกษาวิจัยร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ส่วนจิตรลดา มานาน โดยเริ่มปลูกมะกอกโครเอเชียเมื่อปี 2544 จนได้ออกมาเป็นเครื่องสำอาง Royal Olive Series ภายใต้ไลน์ Pure Care by BSC อย่างไรก็ตาม ในเชิงการท่องเที่ยว ยังไม่มีไร่มะกอกให้เยี่ยมชม มีแต่ไร่องุ่นที่ค่อนข้างแพร่หลาย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากก็เท่านั้น
สำหรับประโยชน์ของน้ำมันมะกอก ที่ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาบริโภคกันมากขึ้น คือ ไม่ทำให้อ้วน มีกรดไขมันที่มีประโยชน์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรียอันตรายในกระเพาะอาหาร ช่วยเรื่องข้ออักเสบรูมาตอยด์ และอาจช่วยอาการอัลไซเมอร์
เห็นแบบนี้แล้ว ใครที่วางแผนเที่ยวไร่องุ่นในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลี อาจต้องลองเสิร์ชเพิ่มเติมว่าที่ไหนมีไร่มะกอกในบริเวณเดียวกันบ้าง เผื่อจะได้เที่ยวทำชม ชิม ชอป ผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบนี้บ้าง