ซัมซุงเล็งซ่อนกล้องหน้าไว้ใต้หน้าจอ
สมาร์ตโฟนหลายรุ่นตอนนี้ หันไปใช้หน้าจอแบบมีรอยบากกันหมดแล้ว เพื่อให้มีพื้นที่บนหน้าจอมากขึ้น เหลือเพียงซัมซุงที่ยังใช้หน้าจอแบบไม่มีรอยบากอยู่ โดยซัมซุงกำลังคิดค้นวิธีซ่อนกล้องหน้าให้ลงไปอยู่ใต้หน้าจอ ซึ่งเราอาจจะได้เห็นในอนาคตอันใกล้
ซัมซุง ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลกจากเกาหลีใต้ จัดงาน '2018 Samsung OLED Forum' ที่โรงแรม Shenzhen Marriott ในประเทศจีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยภายในงานได้มีการพูดถึงถึงทิศทางการออกแบบหน้าจอสมาร์ตโฟนของซัมซุงในอนาคต โดยจะรวมเอา 4 เทคโนโลยีสำคัญ มาไว้ที่ข้างใต้หน้าจอแสดงผล ซึ่งเทคโนโลยีทั้ง 4 อย่าง ประกอบด้วย ระบบสแกนลายนิ้วมือ กล้องถ่ายรูป ปุ่มโฮม รวมทั้งปุ่มเพิ่มและลดเสียง ซึ่งจะทำให้การออกแบบสมาร์ตโฟนของซัมซุงในอนาคต มีหน้าจอแบบไร้ขอบและไร้ปุ่มกดโดยสมบูรณ์
สมาร์ตโฟนเกือบทุกแบรนด์ตอนนี้พยายามเพิ่มพื้นที่หน้าจอด้วยกาสร้างรอยบากเพื่อหลบบริเวณที่ติดตั้งกล้องหน้า ขณะที่ซัมซุงเป็นแบรนด์หนึ่งที่ยังคงไม่ใช้วิธีนี้ แต่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีซ่อนกล้องลงไปใต้หน้าจอ ซึ่งคาดว่ายังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกนานพอสมควรกว่าจะพร้อมนำมาใช้งานจริงได้ คาดว่าซัมซุงจะพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์ได้ภายในปี 2020 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า และเราอาจจะได้เห็นสมาร์ตโฟนในอนาคตของซัมซุงอย่าง กาแล็กซี เอส 11 หรือ กาแล็กซี โน้ต 11 ที่มาพร้อมกล้องหน้าที่ฝังไว้ใต้จอ
ออปโป้ยอมรับโกงคะแนนวัดประสิทธิภาพ
ออปโป้ ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจากประเทศจีน ยอมรับว่าได้ทำการบิดเบือนคะแนนทดสอบวัดประสิทธิภาพการใช้งานของสมาร์ตโฟน บน UL Benchmark ทำให้สมาร์ตโฟนรุ่นแฟล็กชิพของออปโป้อย่าง ออปโป้ ไฟน เอ็กซ์ และ ออปโป้ เอฟ 7 มีคะแนนที่สูงกว่าความเป็นจริงถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการเขียนโปรแกรมให้เครื่องดึงทรัพยากรในระบบทั้งหมดมาใช้เมื่อกำลังถูกแอปพลิเคชันวัดประสิทธิภาพ หรือผู้ใช้งานกำลังเล่นเกม แต่เมื่อใช้งานปกติกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีการตั้งโปรแกรมไว้ ระบบจะใช้ประสิทธิภาพเพียง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าผิดกฎของ UL Benchmark ที่ไม่อนุญาตให้มีการตั้งโปรแกรมพิเศษในการทำงานของสมาร์ตโฟนเมื่อกำลังถูกวัดประสิทธิภาพ และทำให้สมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นถูกถอดออกจากการจัดอันดับการวัดประสิทธิภาพของ UL Benchmark
เมื่อเดือนที่แล้ว สมาร์ตโฟน 4 รุ่นจาก หัวเว่ย ก็ถูก UL Benchmark ตัดออกจากการจัดอันดับวัดประสิทธิภาพเหมือนกัน หลังถูกตรวจสอบพบว่ามีการโกงคะแนนในลักษณะเดียวกัน ทำให้ได้คะแนนวัดประสิทธิภาพสูงเกินจริงถึง 47 เปอร์เซ็นต์
