สื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีที่ส่งผลกระทบต่อเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น ส่งผลให้ราคาเงินสกุลดิจิทัลอย่างบิทคอยน์พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักวิเคราะห์ในไทยเตือนให้ทำความเข้าใจบิทคอยน์ก่อนลงทุน และหน่วยงานรัฐจะต้องผลักดันให้เกิดกลไกกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพด้วย
นิตยสารฟอร์บส์ สื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจชื่อดัง รายงานว่าราคาของบิทคอยน์ในตลาดเงินดิจิทัลพุ่งสูงถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าว่าสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอย่างหนัก ทั้งเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น ทำให้ความต้องการเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์เพิ่มขึ้น และมูลค่าตลาดรวมเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความตึงเครียดทางการเมืองระดับภูมิภาคส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความมั่นคงในระดับโลก โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือซึ่งขู่ว่าจะใช้กำลังอาวุธโจมตีกันในคาบสมุทรเกาหลีและมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่าสถานการณ์ตึงเครียดจะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจสกุลเงินดิจิทัล โดยเชื่อว่าอาจจะมีความมั่นคงแน่นอนกว่า
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศไทย ด็อกเตอร์ภูมิ ภูมิรัตน ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความมั่นคงปลอดภัย บริษัทจีเอเบิล ระบุว่าการทำธุรกรรมเรื่องบิทคอยน์เป็นเรื่องที่คนในสังคมไทยยังไม่มีความเข้าใจมากนัก การลงทุนหรือการกำกับดูแลระบบโครงสร้างต่างๆ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน
ดร.ภูมิระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องดูแลว่าเทคโนโลยีอย่างบล็อคเชนที่ใช้กับบิทคอยน์ออกแบบเอาไว้ดีหรือยัง โดยจะต้องดูว่ามีความปลอดภัยและใช้ประโยชน์ได้จริงหรือยัง เพราะเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นสามารถนำไปใช้ได้หลายแบบ และอาจจะมีการใช้ผิดวิธีได้ เพราะฉะนั้นคนที่วางระบบโครงสร้างต่างๆ ก็ต้องดูให้แน่ใจ โดยเฉพาะเรื่องความน่าเชื่อถือ ถ้าไม่มีการกำกับดูแลเลย คนทั่วไปจะไม่มีวิธีแยกแยะ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์ให้คนอุ่นใจได้ว่าถ้ามีคนไม่ดีอยู่ ก็จะมีกฎหมายที่ไปเอาผิดได้
ดร.ภูมิยังเตือนด้วยว่าบิทคอยน์มีชื่อทั้งด้านดีและไม่ดี แต่เริ่มมีคนสนใจอยากจะลงทุนเพิ่มขึ้นเยอะ ก็จะมีมิจฉาชีพที่จะชวนไปลงทุนหรือมีการอ้างชื่อบิทคอยน์ แต่จริงๆ แล้วเป็นแชร์ลูกโซ่ Ponzi scheme หรือ Piramid Scheme หน่วยงานกำกับดูแลต้องมีกระบวนการให้ความรู้ประชาชน และติดตามไปจับกุมมิจฉาชีพเหล่านี้เหมือนกับที่จัดการกับพวกแชร์ลูกโซ่ในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด และจะต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อจำกัดความเสียหาย แต่ปรากฎการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกครั้งที่มีเทรนด์ใหม่เกี่ยวกับการลงทุน ก็จะมีมิจฉาชีพไปหลอกคน แต่บิทคอยน์อาจจะหลอกง่ายกว่า เพราะเป็นดิจิทัลล้วน ซึ่งคนก็จะไม่คุ้นชินกับการขอหลักฐาน ไม่เหมือนกับการขอไปดูที่ดิน หรือถ้าจะมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็อาจหลอกลวงได้ เพราะใครๆ ก็สามารถสร้างได้หรือเขียนขึ้นมาใหม่ได้