ที่หอประชุม สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครพนม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานเพื่อเปิดงานวันสตรีสากลประจำปี 2563 จังหวัดนครพนม โดยมี นางมนพร เจริญศรี นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.จ.นครพนม และเครือข่ายพี่น้องสตรีในจังหวัดกว่า 500 คน เข้าร่วม พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับตัวแทนสตรีทั้ง 12 อำเภอในจังหวัดนครพนม คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าพลังสตรี จะเป็นกลไกสำคัญ ที่ช่วยพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมได้ เชื่อว่าผู้หญิงถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความรู้ความสามารถ ได้มีโอกาสช่วยครอบครัวและสังคมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อ คือการยกระดับกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่พรรคเพื่อไทยได้ริเริ่มไว้ ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาให้สตรีได้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีต้องได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องโดยเฉพาะใน 2 ส่วน หนึ่งการได้ดูแลครอบครัว ได้โอกาสดูแลบุตรธิดาให้เป็นคนดีของสังคมให้ครอบครัวเป็นครอบครัวคุณภาพของสังคม เป็นกำลังในการสร้างรายได้ ส่วนที่ 2 คือบทบาทในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม อาชีพหลัก ผู้หญิงสามารถเป็นผู้สร้างรายได้ให้กับครอบครัวเป็นหลักได้ ดังนั้นการพัฒนาหรือการส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทคงต้องมีทั้งสองส่วน ทั้งที่มาจากจิตวิญญาณของความเป็นแม่ ที่จะช่วยให้สังคมดีขึ้นและจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปากท้อง และเห็นว่าการพัฒนาผู้หญิง คือการให้โอกาสผู้หญิงได้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพเพื่อช่วยทั้งครอบครัวและช่วยเหลือสังคม "ทั้งในเรื่องของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ทั้งเรื่องของ OTOP และวัฒนธรรม เป็นบทบาทของผู้หญิง รวมทั้งการศึกษา ที่รักจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างจริงจัง ขอรัฐบาลอย่ามองเพียงว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ต้องมาดำเนินการแค่เอาใจผู้หญิง แต่ผู้หญิงคือประชากรที่มากกว่าครึ่งหนึ่งประเทศไทย ถ้าเราส่งเสริมให้ผู้หญิงมีความแข็งแกร่ง มีโอกาส ก็จะเป็นกำลังที่จะช่วยพัฒนาสังคม พัฒนาเศรษฐกิจประเทศได้ "คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
รัฐบาลให้ความมั่นใจ ทำงานร่วมเครือข่ายภาคประชาชนขับเคลื่อนวาระสตรีและเด็ก
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดำเนินงานของรัฐบาลเรื่องการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้หญิงและเด็ก เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม ว่า เพื่อเป็นการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องของสังคมว่าคนทุกเพศมีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไม่มีเพศใดด้อยกว่าใคร กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดึงเอาภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา รวม24แห่ง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บริษัทปูนซิเมนต์ไทย บรษัทสหพัฒนพิบูลย์ ม.ธรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ยุติการกีดกันการจ้างงานด้วยเหตุแห่งเพศ การยอมรับให้บุคคลากรแต่งกายตามเพศสภาพแม้ต่างจากเพศกำเนิด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ซึ่งกระทรวงฯ จะขยายแนวร่วมต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนเครือข่ายภาคประชาชน อาทิ ภาคีเครือข่ายสตรีสี่ภูมิภาค มูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิชุมชนไท มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ที่ได้มีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแล ซึ่งประเด็นต่างๆ ที่เสนอมานั้นเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง นายวิษณุจึงได้เชิญเครือข่ายมาหารือร่วมกับ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณะ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้ข้อสรุปร่วมเป็นที่พอใจ เช่น 1) การแก้ปัญหาแม่วัยใส กระทรวงศึกษาได้เริ่มสอนวิชาเพศวิถีและทักษะชีวิตในโรงเรียน จะพัฒนาเนื้อหาให้ครอบคลุมชั้นประถม มีนโยบายตั้งศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ การลงโทษทางวินัยอย่างจริงจังจริงจัง 2) การลดความรุนแรงในครอบครัว โดยการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นมีความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และสิทธิ/สวัสดิการที่แม่และเด็กจะได้รับหากตกเป็นผู้ถูกกระทำความรุนแรง เจ้าหน้าที่จะได้อธิบายให้ประชาชนเข้าใจ 3) การเสนอให้บิดามีสิทธิ์ลาเลี้ยงดูบุตรได้ในบริษัทเอกชน มอบหมายให้กระทรวงแรงงานไปพิจารณา และ 4) การให้มีหน่วยงานเฉพาะมาดูแลเรื่องการค้ามนุษย์และอุ้มบุญ มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ทำการศึกษา
“ยังมีประเด็นอื่นๆ อีก ที่ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ข้อเสนอใดที่ทำได้ต้องทำเลย แม้อาจใช้เวลาในการสัมฤทธิ์ผล หากมีที่ติดขัดด้วยข้อกฎหมายหรืองบประมาณให้เสนอมา โดย รองนายกฯ วิษณุ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาโดยเร็วที่สุด และหากวันนี้จะมีข้อเรียกร้องจากกลุ่มสตรีหรือแรงงานสตรีเพิ่มเติม รัฐบาลยินดีและตั้งใจรับฟัง” น.ส.รัชดา กล่าว