นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า หลายหน่วยงานได้ให้ความสำคัญกับการมีกฎหมายเพื่อการควบคุมการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน ผู้ขับขี่ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง หากมีโรคประจำตัว อาทิ โรคลมชักต้องสามารถควบคุมอาการได้ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน หลายหน่วยงานได้ให้ความสำคัญกับการมีกฎหมายเพื่อการควบคุมการขับขี่รถยนต์ของผู้ป่วยโรคลมชัก เพื่อความปลอดภัยในท้องถนนทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมทาง
ดังนั้น กรมการแพทย์ โดยศูนย์ความเป็นเลิศโรคลมชัก สถาบันประสาทวิทยา ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคลมชัก และสิทธิของผู้ป่วยโรคลมชักที่ควรจะได้ขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัย จึงได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ กรมขนส่งทางบก กรมควบคุมโรค แพทยสภา มูลนิธิถนนปลอดภัย ชมรมโรคลมชักเพื่อประชาชน เป็นต้น
เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำนโยบายนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายในการควบคุมการขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัยของผู้ป่วยโรคลมชัก โดยเสนอให้ผู้ป่วยโรคลมชักที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดีและสามารถคุมอาการชักโดยไม่ชักอย่างน้อย 1 ปีสามารถขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลได้ และอย่างน้อย 10 ปี ในการขับขี่รถยนต์สาธารณะ
นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา เปิดเผยว่า โรคลมชักเป็นภาวะที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่บนท้องถนนหากมีอาการชักขณะกำลังขับขี่ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะมีข่าวเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถในผู้ป่วยโรคลมชักอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยโรคลมชักมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 1.8 เท่า
สำหรับประเทศไทยมีความชุกโรคลมชักประมาณ 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน (ประมาณ 500,0000) คน ประมาณอุบัติการณ์อุบัติเหตุของผู้ป่วยโรคลมชักจากการขับขี่รถ 361 คนต่อ 100,000 ประชากรผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย จากการศึกษาในประเทศไทยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและสถาบันประสาทวิทยา พบว่า 75-90% ของผู้ป่วยโรคลมชักยังคงขับรถอยู่ ประมาณ 30% เคยเกิดอาการชักขณะขับรถและเกิดอุบัติเหตุ
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่จะทำให้เกิดอาการชัก คือ การขาดหรือลืมกินยากันชัก อีกปัจจัยสำคัญที่จะลดความเสี่ยงที่จะชักซ้ำ คือ ระยะเวลาที่หยุดชัก ระยะเวลาที่หยุดชักยิ่งนานจะยิ่งลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุได้ ความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุลดลงไป 85% ในผู้ป่วยที่หยุดชักนานมากกว่า 6 เดือน และ ลดลงไปถึง 93% ในผู้ป่วยที่หยุดชักนานมากกว่า 1 ปี สำหรับการดูแลรักษาตนเองให้หยุดชักอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การกินยากันชักอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงภาวะที่อาจจะกระตุ้นชัก เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ นอนดึก การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เป็นต้น ซึ่งจะนำไปสู่การได้มีสิทธิ์ที่ได้ขับขี่รถเหมือนคนทั่วไปอย่างปลอดภัย
Photo by takahiro taguchi on Unsplash